JP14 EP.6: Hon - หนังสือ

7:11 PM NidNok Koppoets 0 Comments

6.

Hon หนังสือ


ฝากล้องหาย...

เข้าใจว่าน่าจะเป็นตอนที่หยิบกล้องเข้าๆ ออกๆ ตอนอยู่บนรถไฟที่ Toyosato ต้องโทษตัวเองนี่แหละ เพราะมัวแต่ห่วงจะส่องวัยรุ่นหล่อ เลยเผลอทำฝากล้องหายไปตั้งแต่วันแรกที่มาเที่ยว ดังนั้นจึงต้องซื้อใหม่แบบไม่ต้องคิด

ค่ำนั้นเราจึงไปสถิตอยู่ที่ห้าง Yodobashi Umeda (ヨドバシカメラ 梅田‎) กลางเมืองโอซาก้า ห้างที่ขึ้นชื่อว่าแม่งมีทุกอย่าง ซึ่งพอไปเดินก็เชื่อแล้วว่าพี่ขายทุกอย่างจริงๆ จับได้ทุกกลุ่มจะหญิง ชาย เด็ก แก่ กะว่าจะเดินสำรวจทุกชั้น แต่พี่ก็มีหลายชั้นเหลือเกินน้องเดินไม่ไหว ตัดภาพไปอีกทีก็ขึ้นไปชั้นบนสุดซื้อข้าวกินแล้ว

จิตวิญญาณนักสำรวจต้องพ่ายแพ้ให้กับพลังน้ำย่อย...

เนื่องจากกินข้าวห้างจึงไม่ได้อภิรมณ์อะไรมากนัก เป็นความรู้สึกเดียวกับเวลากินข้าวที่พารากอน จะมีรู้สึกพิเศษนิดนึงตรงที่ได้กินข้าวห่อไข่ที่ร้าน Pomme ni Ki (ポムの樹) ร้านที่รวมทุกความเป็นไปได้ของเมนูข้าวห่อไข่ มีทุกรูปแบบทั้งราดซอสมะเขือเทศ, ครีมเห็ด, ซอสฮายาชิ, ซอสเดมิกลาส, แจ่ว, อ่อม, ต้มแซ่บ พอแล้ว...

ข้าวห่อไข่เป็นอาหารญี่ปุ่นเมนูแรกที่รู้จักจากซีรี่ส์ "สูตรรักข้าวห่อไข่ Queen of Lunchtime Cuisine (ランチの女王 Lunch no Joou)" แม้จานที่กินจะไม่ได้ราดด้วยซอสเดมิกลาสสูตรประจำตระกูลของร้าน "คิทเชน มะกะโรนิ" เหมือนอย่างในเรื่อง แต่ความฝันที่จะได้เลียนแบบท่ากินข้าวห่อไข่ร้อนๆ มีควันอุยๆ ขึ้นมาจากจาน ตักข้าวและไข่เข้าปากอย่างละมุนละอ่อม ห่อไหล่นิดๆ หลับตาพริ้ม ยิ้มมุมปาก ก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วพูดอย่างร่าเริงสดใสเปี่ยมด้วยความฟินระดับห้า "โออิชี้" เหมือนอย่างที่ Yuko Takeuchi เคยทำเอาไว้แบบโคตรน่ารัก และเป็นภาพจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ก็ได้เป็นจริงแล้วค่ะ (น้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้ม)

แต่คนญี่ปุ่นที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ต้องคิดว่ากูเป็นบ้าแน่นอน

ซีรี่ส์ปี 2002 เรื่องนี้ เป็นเรื่องแรกๆ เลยที่เราได้ดู และทำให้ชอบดูซีรี่ส์ญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ สมัยนั้นมีคุณ Yuko เป็นขวัญใจอันดับหนึ่ง แกเล่นหนัง เล่นละครกี่เรื่องเราต้องไปตามหามาดูจนหมด แล้วเลยขยับขยายได้ดูหนังญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีก และหลังจากนั้นมา ก็ไม่มีชีวิตช่วงไหนที่ไม่ได้ติดตามหนังและละครจากประเทศนี้เลย

ทานข้าวเสร็จก็ลงมาแผนกกล้อง และจัดการถอยฝากล้องอันใหม่มา ราคาประมาณ 800 เยน ถือว่าพอรับได้ ยังดีนะที่ไม่ใช่เลนส์หรืออื่นๆ หาย ไม่งั้นคงต้องขายม้ามข้างซ้ายหาเงินกลับบ้านแน่นอน

จากนั้นเมื่อรู้สึกว่าห้างใหญ่แน่นไปด้วยคนแห่งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ เป้าหมายต่อไปของเราก็เลยเป็นร้านหนังสือ ที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องมาเยือนให้ได้


ว่าแต่ มันอยู่ตรงไหนเหรอ...

เนื่องจากตั้งแต่เช้าแรดออกไปนอกเมือง เมื่อวานมาถึงก็พุ่งไปขึ้นรถบัสเลย จึงไม่มีแผนที่อะไรทั้งนั้นอยู่ในมือ ทุกอย่างอาศัยสัญชาตญาณและการอ่านป้ายเท่านั้น แต่พอเข้าเขตเมืองใหญ่แล้วไม่มีแผนที่จะค่อนข้างรู้สึกเคว้งคว้าง หาทางไม่เจอ ก็เลยกะว่า ลองไปถามเจ้าหน้าที่ตรงรีเซปชันดูก็แล้วกัน

เราเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ information ของห้าง มีพนักงานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มผิวดีมากนั่งอยู่คนนึง จัดแจงถามนางว่า "ร้าน Maruzen & Junkudo จากตรงนี้ไปยังไงคะ" โดยไม่รู้เลยว่า เราจะไปรบกวนน้องเค้าอย่างหนักเลย

พอน้องพนักงานรับคำถามจากเราไปปุ๊บ นางก็บอกว่า "คุณลูกค้ารอซักครู่นะคะ" จากนั้นน้องเค้าก็ก้มลงไปหยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น หันไปหยิบแฟ้มมา แล้วหยิบกระดาษซึ่งเป็นสำเนาแผนที่ย่านนั้นออกมาอีกหนึ่งแผ่น และเอาแฟ้มกลับไปเก็บที่เดิม "คุณลูกค้ารออีกซักครูนะคะ" เธอพูดต่อ แล้วเปิดลิ้นชักหยิบปากกาแบบเปลี่ยนสีได้ และถุงพลาสติกที่ข้างในมีปากกาสี และปากกาไฮไลท์อีกสามสีขึ้นมา หยิบอุปกรณ์เหล่านั้นออกจากถุงอย่างทะนุถนอม มาวางเรียงไว้บนโต๊ะคล้ายว่ากำลังจะเริ่มคาบเรียนวิชาโลกของเรา

ยัง พิธีกรรมยังไม่จบ น้องบอก "คุณลูกค้ารอซักครูนะคะ" เป็นครั้งที่สาาม แล้วหยิบกระดาษมาอีกแผ่น ตัดครึ่ง แล้วเอากระดาษที่เป็นแผนที่มาแม็กติด เป็นการขยายพื้นที่ เก็บงานให้ละเอียดด้วยการแปะสก๊อตเทปเข้าไปอีกเพิ่มความเนี๊ยบ จากนั้นน้องจึงถามเราว่า ให้เขียนเป็นภาษาอะไร เราเลยบอก เขียนภาษาอังกฤษละกัน แต่อธิบายเป็นญี่ปุ่นได้ เราพอเข้าใจ คุณน้องกล่าวขอบคุณ แล้วเริ่มอธิบายเส้นทางไป

มาถึงตรงนั้นผ่านไปแล้วประมาณสามนาที...

คุณน้องอธิบายเส้นทางให้เราอย่างละเอียด เน้น ว่าละเอียดมาก ถ้านับก้าวเดินให้ได้น้องคงนับให้พี่แล้ว มีการใช้ปากกาสี และไฮไลท์สีต่างๆ ระบายเพื่อเพิ่มความเข้าใจ ตรงไหนเป็นทางข้ามถนนน้องก็วาดทางม้าลายให้พี่ ย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องเดินผ่านตรงไหนบ้าง

"...และคุณลูกค้าก็จะไปถึงที่ Maruzen แล้วล่ะค่ะ..." จบการอธิบายเส้นทาง ที่ใช้เวลานานเกือบสิบนาที ได้รับข้อมูลที่ความละเอียดไม่ต่างจากเปิด Google Street View คือน้องเป็นสุดยอดนาวิเกเตอร์คนนึงที่พี่เคยเจอมา เรากล่าวขอบคุณน้องไปหลายที ใจจริงอยากจะช่วยน้องเก็บปากกาและอุปกรณ์จำนวนมากตรงนั้น แต่กลัวไปทำเค้าเสียระบบ เลยปลีกตัวออกมาดีกว่า

เดินเรื่อยๆ ประมาณสิบนาที เราก็ยืนอยู่ที่หน้าร้านหนังสือ Maruzen & Junkudo อย่างที่ตั้งใจ

Maruzen & Junkudo สาขา Umeda นี่ถือว่าเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในย่านคันไซ ตัวร้านสร้างเสร็จและเปิดให้บริการเมื่อปี 2010 ออกแบบโดยสถาปนิกเจ้าถิ่น Ando Tadao ตัวร้านสูงขึ้นไปเจ็ดชั้น ทุกชั้นอัดแน่นไปด้วยหนังสือทุกประเภท มีมุมจัดนิทรรศการ มุมขายอุปกรณ์ส่งเสริมการอ่านและการเขียน ไดอารี เรียกว่าครบถ้วนทุกอย่างที่เกี่ยวกับการอ่านและการเขียน แถมมีห้องน้ำสะอาดและเงียบ เหมาะแก่การถ่ายหนักฝากรักไว้ในร้านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง พนิตชนกจึงจัดไปหนึ่งดอกอย่างไม่เกรงใจ

เดินเยี่ยมชมทุกชั้นทุกมุมแล้วอิจฉาคนบ้านนี้เมืองนี้ที่มีร้านหนังสือที่ใหญ่เป็นห้าง ให้เดินเลือกเป็นวันก็อยู่ได้ ติดอย่างเดียวคืออ่านไม่ออกเลย เห็นหลายเล่มแล้วโคตรอยากได้ จริงๆ อารมณ์มันคล้ายเวลาไปเดินโซนหนังสือญี่ปุ่นที่คิโนะคุนิยะ สาขาอิเซตัน แต่มาตรงนี้คือคูณเข้าไปอีก 17.5 เท่า สำหรับความใหญ่และหลากหลาย เดินเข้าไปดูโซนหนังสือภาษาอังกฤษก็มีมากมายให้เลือกอยู่ แต่ดูราคาแล้วรู้สึกว่าแพงกว่าซื้อที่ไทย จึงมุ่งหน้าไปโซน Photo Book ของเหล่าไอดอลดารา และก็จัดหนังสือมาทั้งสิ้นสามเล่มถ้วน หมดตัวกันตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ บายยยยย

ร้านนี้เขียนป้ายเอาไว้ว่าปิดสี่ทุ่ม แต่ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วคนยังเต็มร้านยืนอ่านกันอยู่เลย แต่พวกห้างแถวนั้นบอกว่าปิดสี่ทุ่ม แต่สามทุ่มครึ่งเค้าก็ไม่ให้เราเข้าไปแล้ว แถมตอนเดินกลับบ้าน ผ่านร้านหนังสืออีกร้านแถวสถานี รายนั้นปิดแม่งห้าทุ่มเลย โอยยยย รักประเทศนี้ก็ตรงนี้

จบวันแรกไปด้วยดี เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะไปลุยเกียวโต...




0 comments: