Steve Jobs
(2015, Danny Boyle, A)

พ่อก็คือพ่อ หมายถึงสตีฟ จ๊อบส์ เหรอ เปล่าเลย แอรอน ซอร์กิ้น พ่อทุกสถาบัน
บทแบบนี้แอรอน ซอร์กิ้นทำได้คนเดียวเท่านั้นแหละ บีก็ทำไม่ได้ คริสเหรอ
อย่าหวังเลย นั่งคิดว่าถ้ากูต้องมาเขียนอะไรแบบนี้
น่าจะขาดใจตายไปตั้งแต่ขึ้นหน้าที่สิบแล้ว เพราะมันเค้น อีเหี้ย
คนเหี้ยอะไร
จะขึ้นพรีเซนท์หน้าเวทีแต่ต้องมาไดอาล็อกดราม่าทั้งชีวิตกับตัวละครนู้นนี้
เป็นวรรคเป็นเวร แล้วคุยกันธรรมดาก็ไม่ได้ อีบ้า จะเชือดเฉือน
เค้นห่าอะไรกันนักหนา พอ พอแล้ว กูเหนื่อย (ดูเป็นคำด่า แต่จริงๆ
คือชมหมดเลย)
เอาจริงตอนต้นมีเคลิ้มๆ แล้วเผลอหลับไปนิดนึงนะ เพราะเมาไดอาล็อก
แม่งพูดจนกูจับต้นชนปลายไม่ถูกละ แต่พอตั้งสติได้ ทีนี้นั่งไม่ติดเบาะละ
ทั้งที่หนังแม่งมีอาวุธอยู่แค่อย่างเดียวเลย คือบทพูด
ชอบการเลือกใช้วิธีนี้ในการเล่าหนัง เข้าใจเลยนะว่าคงอยากหาทางใหม่ๆ
เล่าชีวประวัติคน ไม่งั้นมันก็ธรรมดา พอมาเลือกวิธีนี้ โอเค
มันจะมีความรำคาญนิดหน่อย ว่าโอ๊ย แม่งจะต้องมาเกิดตรงนี้ทุกเรื่องเลยแหละ
ผ่านไปสิบห้าปีมึงไม่โทรคุยกันบ้างเลยอีห่า ต้องรอมาคุยกันหลังเวทีเนี่ย
อีเคทนี่ก็เร่งจัง นับเวลาถอยหลังให้อยู่นั่น ซึ่งเออ เป็นอีกสิ่งที่ชอบ
พอมีตัวละครที่มาคอยกำกับเวลา มาคั่น มาขัด มันยิ่งมันส์
โหดเหี้ยมยิ่งกว่าฉากระเบิดตูมๆ ในหนัง ไมเคิล เบย์
ฟาสเบนเดอร์โคตรดี ไม่เคยรู้สึกว่าสตีฟ จ๊อบส์ จะอึ้บ ขนาดนี้
แต่พอเป็นฟาสเบนเดอร์ปุ๊บ ก็อยากให้สตีฟ จ๊อบส์
เวอร์ชันนี้ไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ ไม่ต้องทำแล้วคอมพิวเตอร์ ปลอม เปลือก
แต่เอาดีๆ คือถ้าตัดความอึ้บขอบฟาสเบนเดอร์ไป
เราก็ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นฟาสเบนเดอร์ ชอบที่สุดคือตอนที่แกแสดงในโหมดพ่อ
มันลึกลับซับซ้อนเกินจะเอ่ย แล้วแกเล่นดี ซีนบนดาดฟ้านี่เกือบร้องละ
ทั้งที่บาดแผลจากความดุเดือดยังเจ็บจี๊ดๆ อยู่ แต่พอเจอโหมดพ่อลูกกูตายเลย
เคท วินสเลต ต้องเล่นอะไรแบบนี้บ้าง และเล่นแบบนี้ดีแล้ว
เป็นผู้หญิงไม่สวยแต่เก่งแบบนี้เหมาะกับเจ๊ที่สุดแล้ว แม่งไปดู The
Dressmaker มาแล้วโคตรขัดใจ เคทก็เล่นดี แต่ดูยังไงก็ไม่เชื่อ
ไม่เหมาะกับคาแรกเตอร์ ยิ่งพอเข้าฉากกับ Liam Hemsworth ยิ่งเหมือนแม่ลูก
เคทดูไปอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่หนังสนุกนะ มัน ผู้หญิงดี อีดอกกก
แล้วพอเจอ ซาราห์ สนู้ก อีเกอร์ทรูดใน Dressmaker มารียูเนียนกับทิลลี่
ที่เรื่องนี้ก็เซอร์เป็นป้า เลยอิ่มใจนิดนึง
เป็นคนชอบการรียูเนียนของตัวละครในต่างกรรมต่างวาระ แค่นี้แหละ 555
ถ้าไดอาล็อกในหนังเรื่องนี้เป็นลูกกระสุน คนดูก็โดนยิงจนพรุน
แล้วพอไปเจอวิธีของ แดนนี บอยล์ ที่เล่ามันออกมา
ทำให้เราตื่นเต้นกับบทสนทนา ยากชิบหาย แต่แกทำได้ และมันสนุกจริงๆ
The 2016 Deloitte Millennial Survey
Winning over the next generation of leaders
Millennial Survey เป็นการสำรวจที่ดีลอยท์ทำต่อเนื่องกันมาทุกปีฉบับนี้เป็นฉบับที่ห้าแล้ว ตั้งแต่เข้าบริษัทนี้มาก็ได้อ่านไปสามฉบับได้มั้ง พบว่ามันสนุกและใกล้ตัวดี ไม่สิ เกี่ยวกับตัวเองเลยแหละ แถมในบางยามที่ต้องพยายามทำความเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ แล้วไม่รู้จะหา insight จากไหน ก็จะได้ผลสำรวจนี้คอยอธิบายให้เข้าใจน้องๆ มากขึ้น เพราะถึงแม้ อะแฮ่ม เราก็ยังสามารถจัดอยู่ในกลุ่มมิลเลนเนียลได้ แต่ก็เป็นมิลเลนเนียลชั้นสูง (อ๋อ ไฮโซ ชนชั้นสูง / ชั้นสูงอายุนี่แหละมึง) อยู่ด้านบนสุดของสังคมมิลเลนเนียล มันเลยเป็นไปได้ว่าพี่ข้างบนกับน้องข้างล่าง แม้จะมีค่านิยมหรือวิธีคิดแบบกว้างคล้ายๆ กัน แต่ในรายละเอียด หรือบางแง่มุม ยังไงก็แตกต่างกันแน่นอนอยู่แล้ว
ปีนี้พอมันออกก็เลยรีบอ่านอย่างตั้งใจ ช่วงนี้อินเรื่องพวกนี้ด้วยมั้ง พออ่านจบแล้วเลยอยากทำโน๊ตย่อเก็บไว้อ่าน และเผื่อใครสนใจเรื่องนี้จะเข้ามาอ่านแบบย่อๆ เบาๆ จับประเด็นได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นน้ำจิ้มไปก่อน ก่อนที่จะไปอ่านฉบับเต็มเพื่อทำความเข้าใจ และใช้ข้อมูลในเชิงอ้างอิง บล็อกเรานี่เอาไปอ้างอิงอะไรไม่ได้เลยนะ แปลถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่าได้ไปอ้างเชียว
อันนี้คือสรุปมาตามความเข้าใจของตัวเองจริงๆ และมีเขียนความคิดเห็นตัวเองเข้าไปด้วย ดังนั้นมันเป็นความเห็นของเรานะ ไม่ใช่ของผลสำรวจเขา อ่านอันนี้พอเป็นน้ำจิ้มไปก่อน แล้วถ้าสนใจก็อ่านเซอร์เวย์ตัวเต็มได้ค่ะ สนุกและได้ประโยชน์จริงอ่ะไป
ออกตัวมายาวเกินไปแล้ว จะขอเข้าเรื่อง ณ บัดนี้
_________________________
Millennial
กำลังจะครองโลก
จากข้อมูลพบว่า กลุ่ม Millennial นั้นกำลังเป็นตลาดแรงงานใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ในประเทศอื่นก็คงคล้ายๆ กัน ก็วัยหนุ่มสาวน่ะแหละ ก็เป็นวัยทำงานนั้นถูกแล้ว แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ตัวเลขของกลุ่ม Millennial ที่อยู่ในตำแหน่ง Senior position นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เลยจะมาพูดไม่ได้แล้วว่า หนุ่มสาวพวกนี้คือผู้นำในวันข้างหน้า เพราะว่าเขาเป็นตั้งแต่วันนี้แล้วโว้ย
กลุ่มเป้าหมายในการสำรวจ
Millennial กว่า 7,700 คน จาก 29 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วมตอบแบบสอบถามนี้ ทุกคนเกิดหลังปี 1982 (พ.ศ.2525) สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย เป็นลูกจ้างเต็มเวลา ส่วนใหญ่ทำงานในองค์กรเอกชนขนาดใหญ่
งาน Survey นี้เก็บตัวอย่างกลุ่ม Millennial จากสองกลุ่มประเทศ กลุ่มแรกคือ Emerging Markets 4,300 ตัวอย่าง ประเทศในกลุ่มนี้ก็เช่น บราซิล, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, รัสเซีย, เกาหลีใต้ และไทยเราก็อยู่ในกลุ่มนี้นะ แค่ไปซ่อนอยู่ในกลุ่ม MTS คือ Malaysia - Singapore - Thailand ย่อยเข้าไปอีกกกก
ส่วนอีกกลุ่มคือ Developed Markets จำนวนที่เขาศึกษา 3,392 ตัวอย่าง ประเทศพวกนี้เราคุ้นอยู่แล้วแหละ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ อเมริกา โดยมีญี่ปุ่นเป็นเอเชียเพียงประเทศเดียวที่อยู่ในกลุ่มนี้
Part1: ความจงรักภักดีต่อองค์กร
จากการสำรวจพบว่า 25% ของมิลเลนเนียล นั้นเล็งไว้แล้วว่าจะลาออกจากที่ทำงานเดิมแน่นอน ภายในปีหน้า 44% บอกว่าให้อีกสองปีกูไปแน่นอน และอีก 66% บอกว่า ภายในปี 2020 จะไม่เห็นกูอยู่ที่ออฟฟิศเดิมแน่นอน ป่านนั้นถ้าไม่ย้ายงานไปแล้ว ก็แต่งงานมีลูก หรือไม่ก็ออกบวช (หลังๆ นี่เติมเองหมดเลย)
เลยทำให้เห็นว่า Loyalty หรือความภักดีต่อองค์กร ของชาวมิลเลนเนียลนั้นโคตรจะไม่มี ชีวิตนี้ขับเคลื่อนด้วยฟีลลิ่ง แต่ฟิลลิ่งของพวกเรา มันกำลังไปส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจ และการจัดการด้านทรัพยากรบุคคลเลยนะ คิดดูว่าอีก 5 ปี จะมีพนักงานมิลเลนเนียลลาออกไปถึง 66% นี่มันเป็นตัวเลขที่เยอะไม่ใช่เล่นนะโว้ย
ที่น่าสนใจคือ เปอร์เซ็นต์ของคนที่คิดจะออกภายในปี 2020 ในประเทศกลุ่ม Emerging Market นั้นสูงกว่ากลุ่ม Developed Market อย่างชัดเจน เช่น เบลเยียม, สเปน และญี่ปุ่น เปอร์เซ็นอยู่ที่ 50 นิดๆ เท่านั้น (ของคนที่คิดจะลาออก)
แล้วพวกที่ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ หรือเป็นผู้บริหารแล้วล่ะ คงไม่อยากออกหรอกมั้ง โนว ผิดเลยจ้ะ 12% ของเหล่า Division Head / Dept Head บอกว่ากูออกแน่ และ 7% ของกลุ่มที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นบอร์ดบริษัท ก็บอกว่า พร้อมจะไปทุกเมื่อเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น พวกมิลเลนเนียลที่ตอนนี้มีผัวเมียลูกเต้า ก็มีแนวโน้มจะ Loyalty กับองค์กรมากว่าพวกที่ยังโสด ข้อนี้ไม่น่าแปลกใจ ใครๆ ก็ต้องการความมั่นคงเมื่อมีครอบครัวแล้ว
ความภักดีที่หย่อนคล้อย อาจเกิดจากอาการงอน ว่าองค์กรไม่สนใจพวกเขารึเปล่า
เราว่ามิลเลนเนียลมีความมั่นใจในตัวเองประมาณนึงล่ะ ดังนั้น มันก็เป็นไปได้ที่เราจะงอนองค์กร ไม่ใช่การงอนแบบคนรุ่นที่แล้ว ทำนองว่า "ทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่เห็นความดี" อะไรแบบนั้นนะ แต่เราจะงอนแบบ "ฉันยังไม่ได้รับการพัฒนา และ Groom เราไปสู่การเป็นผู้นำในอนาคต จากองค์กรดีพอ" นี่ คิดแบบโคตรมั่นใจในตัวเองใช่มั้ยล่ะ
จากผลสำรวจบอกว่า แม้จะมีชาวมิลเลนเนียลที่ก้าวไปถึงระดับบริหารแล้วก็จริง แต่กว่า 63% (ใน MTS ตัวเลขสูงถึง 70% เลยด้วยซ้ำ) กลับตัดพ้อว่า "พวกเขาไม่ได้รับการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำอย่างเพียงพอ"
จะเห็นว่ามิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับ Leadership Skill มาก ก็อย่างที่ว่าแหละ เป็นคนรุ่นที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เหิมพอประมาณ พวกเขา (จริงๆ ใช้คำว่าพวกเราก็ได้นะ กูก็มิลเลนเนียลโว้ย) มองว่า Leadership Skill นั้นสำคัญต่อการประสบความสำเร็จของธุรกิจ และในมุมมองของมิลเลนเนียล พวกเขายังไม่รู้สึกว่าองค์กรได้พยายามมากพอที่จะสร้างผู้บริหาร/ผู้นำรุ่นใหม่ ขึ้นมาทดแทนรุ่นเก่าที่กำลังจะผลัดใบ
ในรายงานยังบอกต่อว่า จุดที่น่าสนใจคือ กว่า 71% ของคนที่บอกว่าจะลาออกภายในอีกสองปีนั้นรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับการพัฒนา อย่างเพียงพอ พูดง่ายๆ คือคงน้อยใจว่าอยู่ต่อไปก็คงไม่ก้าวหน้า แต่กับคนที่บอกว่าจะอยู่ถึง 2020 นั้นมีหลายอย่างที่บ่งชี้ว่า เหตุที่อยู่เป็นเพราะพวกเขาค่อนข้างพึงพอใจ หรือมองเห็นแนวทางในด้านดี นั่นคือ
- องค์กรมีโปรแกรมสำหรับพัฒนาพนักงานที่มี Potential จะเป็น Leader ในอนาคต
- องค์กรเปิดกว้างให้พนักงานรุ่นใหม่ๆ ได้ตั้งเป้าหมายไปเป็นผู้บริหารได้ ไม่หาว่าทะเยอทะยานเกินตัว
แต่กับคนที่มีแนวโน้มจะลาออกโดยไวแบบกูไม่ไหวแล้ว ก็จะบอกว่า
- รู้สึกว่าทักษะและความสามารถที่มีนั้นถูกมองข้าม ทำให้ไม่ได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ และโชว์ด้าน Leadership ของตัวเองซักที
- นอกจากจะโดนมองข้ามแล้วก็ยังไม่มีใครอยากมาพัฒนาเราด้วย น้อยใจ กูไปละนะ
Part 2: มองคนละมุมเรื่อง Sustainability
ไม่ๆ มิลเลนเนียลไม่ได้มีหัวใจออแกนิกเกินร้อย ถึงขั้นว่าจะไม่มุ่งแสวงหากำไร แล้วเดินหน้าสู่ความพอเพียงอะไรแบบนั้น พวกเรายังมองว่าการทำธุรกิจยังไงก็ต้องมีผลกำไร และวัดผลจาก Financial Performance น่ะถูกแล้ว แต่แค่สองอย่างนั้น มันไม่พอหรอกนะ ธุรกิจที่ดี และที่พวกเขาจะภูมิใจที่ได้ร่วมงานด้วย นั้นจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม และถ้าเป็นไปได้ ธุรกิจควรก่อให้เกิด Impact ในด้านที่ดี ต่อสังคมในวงกว้าง
น่าจะเป็นเพราะมิลเลนเนียลโตมากับโลกที่มีอินเตอร์เน็ต โลกที่แคบเข้าหากัน และการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องที่ง่ายและฟรี เลยทำให้กลุ่มมินเลนเนียลใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น เป็นเหมือนงานฝิ่นที่ไม่เกี่ยวกับงานประจำ เป็นพาร์ทปัจเจกที่เราออกไปทำเพื่อเติมเต็มความภูมิใจในตัวเอง เพราะแบบนั้น พออินหนักๆ เข้า เลยมีแนวโน้มที่มิลเลนเนียลจะตั้งคำถามกลับไปที่ธุรกิจ ว่าทำไมไม่ทำ หรือถ้าทำ ทำไมไม่ทำแบบใหม่ๆ แบบที่ไม่ใช่การกุศล หรือ CSR ในคำจำกัดความเดิม แต่เป็นอะไรที่กว้างกว่านั้น ยั่งยืนกว่านั้น
นอกจากมุมของสังคม มิลเลนเนียลยังมองถึงวิธีที่ธุรกิจดูแลคนด้วย 6 จาก 10 ของกลุ่มนี้เชื่อว่า ความสำเร็จของธุรกิจต้องมองจากคุณภาพของสินค้าและบริการของบริษัท, ความพึงพอใจของพนักงาน และลูกค้า นวัตกรรมและความมีประสิทธิภาพของสินค้าและบริการก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้มิลเลนเนียลพอใจในธุรกิจได้
ว่าง่ายๆ คือ ไม่ใช่ว่าจะมาผลิตแบบประหยัดต้นทุน เพื่อสร้างกำไรในบัญชีให้มากที่สุด แต่ละเลยคุณภาพของสินค้า ละเลยความพอใจของคนที่ทำงาน และไม่สร้างอะไรใหม่ๆ ย่ำซ้ำรอยเดิม กำไรที่เหลือมาแบบนั้น มิลเลนเนียลก็ไม่ต้องการ!
(พวกมึงนี่อุดมการณ์สูงจริงๆ /อ้อ กูก็ด้วย)
ความสำเร็จที่ยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นอันดับแรก
คำถามข้อหนึ่งในเซอร์เวย์ถามว่า "What are the most important values a business should follow if it is to have long-term success" มิลเลนเนียลตอบว่า ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับพนักงานในการสร้าง Trust และ Integrity ในตัวพวกเขา คงคล้ายๆ กับการสร้างชาติและ พื้นฐานมันก็ต้องมาจากคน ถ้าคนในองค์กรมีศีลเสมอกัน มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน มันก็ตัดความกังวลใจไปได้หนึ่งเปลาะ ธุรกิจจะได้เอาเวลาไปหาทางวางแผนมุ่งสู่เป้าหมาย
มีความเห็นของคนนึง ที่ตอบคำถามด้านบนเอาไว้ ที่เราว่าสรุปเรื่องนี้ได้ดี ดังจะยกมาดื้อๆ เลย ไม่แปลด้วย
"Ensuring employees feel comfortable - that is a successful company; where people are free to perform their tasks and duties regardless of time and space"
ไม่อยากจะขัดใจตัวเอง
อย่างที่บอกว่ามิลเลนเนียลนั้นมีอุดมการณ์ค่อนข้างชัดเจน จากการสำรวจจึงพบว่า มิลเลนเนียลจะเลือกทำงานกับองค์กรที่มีค่านิยมสอดคล้องกับค่านิยมและเป้า หมายส่วนตัวของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น 49% ของพนักงานปกติ กับ 61% ของพนักงานระดับอาวุโส ที่เป็นมิลเลนเนียล เลือกที่จะปฏิเสธ หรือเลี่ยงจะไม่ทำบาง assignment ถ้าพวกเขาเห็นว่ามันขัดแย้งกับค่านิยมข้างในของตัวเอง ทำไปมันก็ฝืนใจ ขัดใจ อึดอัดใจ อกจะแตกตาย ไม่ทำโว้ย (อีสัส แล้วใครจะทำ - เจ้านายกล่าว)
มั่นใจเหลือเกินนะพวกแก
มีคำถามหนึ่ง ถามว่า "อะไรคือปัจจัยสำคัญ ที่มีผลเป็นอย่างยิ่ง ต่อการตัดสินใจเรื่องใดๆ ในการทำงาน" สิ่งที่มาเป็นอันดับหนึ่งที่มิลเลนเนียลตอบ คือ "ค่านิยมและความเชื่อส่วนตัว" รองลงมาที่พอๆ กันคือ อิมแพ็คต่อสังคมและลูกค้า และ เป้าหมายทางอาชีพที่วางไว้ ทั้งหมดนี้คือมึงไม่ได้คิดถึงบริษัทเลยเว้ย คิดถึงตัวเอง และสังคมทั้งนั้นเบยยยยย
มิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับ Sense of purpose ในมุมของการพัฒนาคน เหนือกว่าการสร้างผลกำไรสูงสุดให้กับองค์กร ผ่าน 5 ตัวบ่งชี้
- มอบค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล
- เป็นที่ทำงานที่น่าทำงานด้วย
- พัฒนาทักษะของพนักงานอย่างยั่งยืน
- ส่งมอบสินค้า/บริการที่ดี ที่สามารถยกระดับชีวิตของผู้คนและสังคม
- มอบหมายงานที่มีคุณค่า และคอยสนับสนุนส่งเสริม
แต่เห็นอุดมการณ์ด้านงานและสังคมแรงแบบนี้ ผลสำรวจกลับเจอมุมที่น่าแปลกใจ คือ เมื่อถามถึงเป้าหมายส่วนตัวของมิลเลนเนียล ก็พบว่า มันมีความเป็นสูตรสำเร็จเหมือนคนรุ่นเก่านั่นแหละ (ในเซอร์เวย์ใช้คำว่า Personal goals are fairly traditional) เป้าหมายที่ว่าก็เช่น อยากมี Work-life balance, อยากมีบ้าน มีคู่ชีวิตและครอบครัวที่ดี, มีความมั่นคงเรื่องเงินทอง โดยวางแผนจะเก็บเงินเพื่อการเกษียณอย่างมีคุณภาพ
โธ่ ชีวิตแพทเทิร์นมาก แล้วมาทำเป็นอินดี้
Part 3: อย่าปล่อยให้ Talent หลุดมือ
อย่างที่บอกว่ามิลเลนเนียลนั้นไม่ค่อยมีความภักดีกับองค์กรเท่าไหร่หรอก ซึ่งองค์กรก็รู้อยู่แล้ว ยังไงมีคนออกก็ต้องมีคนเข้า แต่ปัญหาจะเกิดทันที ถ้าคนที่ออกไปดันเป็นพวก Talent ขององค์กร เรียกแบบมันส์ๆ พวกนี้คือพวกตัวเทพ ตัวท้อป เก่งและดี คนพวกนี้ใครๆ ก็อยากได้ และใครๆ ก็ไม่อยากเสีย
อย่างย่อและง่าย สิ่งที่องค์กรควรทำเพื่อ Retain the talent เอาไว้ คือต้องเริ่มจากการเข้าใจความอินดี้ของมิลเลนเนียลให้ได้ แล้วจึงคอยสนับสนุน และส่งเสริมให้มิลเลนเนียลคว้าดวงดาวที่เป้าหมายทั้งด้านงานและชีวิต (เน้นเลยนะ ว่าต้องมี Life ambition ด้วย ถ้าขาดด้านนี้ไป มิลเลนเนียลก็อกแตกตายเหมือนกัน) องค์กรต้องเปิดโอกาสให้มิลเลนเนียลได้แสดงผลงาน ได้พัฒนาตนเองผ่านงานที่ท้าทายและมีคุณค่า และสิ่งที่มิลเลนเนียลต้องการ แต่อาจไม่กล้าบอกก็คือ พวกเขาอยากมีเมนเทอร์พี่เกดคอยให้คำแนะนำอยู่ใกล้ๆ
67% ของมิลเลนเนียลในกลุ่ม Emerging Market นั้นต้องการเมนเทอร์ซักคนที่จะคอยให้คำปรึกษา เหมือนที่พี่เกดสอนให้จีน่าหมุนเป็นลูกข่างในการเดินแบบ ในแบบที่บีก็ทำไม่ได้ คริสเหรอ อย่าหวังเลย (เลอะเทอะชิบหาย กูเนี่ย 555) ตัวเลขนี้จะน้อยลงมาเหลือ 52% สำหรับกลุ่ม Developed Market ก็แน่ล่ะ เขาสตรองแล้ว ไม่ต้องมาแนะนำแล้วโว้ย ซึ่งไอ้การเมนเทอร์นี่ก็ไม่ใช่ว่าแค่พาไปกินข้าว เล่นบัดดี้ เลี้ยงปีใหม่ อะไรแบบนั้น มิลเลนเนียลต้องการอะไรที่มีสาระ มีคุณค่า อยากดูดประสบการณ์จากเมนเทอร์มาให้ได้เยอะที่สุด อยากได้คำแนะนำเจ๋งๆ และเมนเทอร์ก็ต้องแสดงออกให้มิลเลนเนียลเห็นว่า ต้องการจะถ่ายทอดความรู้ เพื่อพัฒนาให้มิลเลนเนียลเติบโตต่อไปได้
ค่านิยมองค์กรที่เน้นเรื่อง Purpose beyond Profit ก็เป็นอีกสิ่งที่จะช่วยยื้อเหล่าทาเลนท์ให้ยังอยู่กับองค์กรได้ โดยองค์กรต้องหาทางสื่อสารให้ทาเลนท์เห็นว่าเรากำลังจริงจังกับเรื่องเหล่านี้ ผ่านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง เปิดกว้าง เข้าถึง และให้ความสำคัญกับพนักงานอย่างแท้จริง
ถัดมาคือโปรแกรมพัฒนาทาเลนท์ให้ยิ่งเก่งยิ่งเจริญขึ้นไปอีก ก็มีส่วนช่วยในการตัดสินใจอยู่ต่อ และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ก็คือ เงินน่ะแหละ ที่เป็นยาแรง ยื้อชีวิตทาเลนท์เอาไว้ได้ แต่อย่างที่ว่า ทาเลนท์เราอินดี้ เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่ที่สุด สุดท้ายแล้วองค์กรต้องมอบแพ็คเกจที่สมเหตุสมผล พร้อมกับไม่ลืมปัจจัยอินดี้ๆ อื่นๆ ที่ว่าไปข้างต้น ในการเหนี่ยวรั้งและรักษาทาเลนท์ซักคนเอาไว้ อาจจะดูเหนื่อยที่ต้องมางอนง้อเอาใจไอ้พวกอินดี้ แต่บางทีก็อาจจะคุ้มกว่าการรับคนใหม่เข้ามา เสียเวลาปลุกปั้นปรับตัว อันนี้ก็สุดแท้แต่แนวทางขององค์กร
ยิ่งยืดหยุ่นยิ่งอยู่ยาว
ในเอกสารมีการยกข้อเขียนของ Adam Henderson แห่ง Millennial Mindset บอกว่า "ถ้าไม่สามารถไว้ใจให้พนักงานทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Working) ได้ งั้นจะจ้างเขามาทำไมตั้งแต่แรก เพราะการทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าทาเลนท์ได้กำหนด "ทางเลือก" การทำงานในแบบของพวกเขา ทางที่มันเหมาะกับวิถีชีวิต ซึ่งจะส่งผลให้วิน-วินกันไปทุกฝ่าย"
Flexible working คือการทำงานแบบที่ไหนก็ได้ จะทำที่บ้าน ที่ร้านกาแฟ ร้านนวด ริมทะเล หรือในส้วมที่ออฟฟิศ ตราบใดที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผลสำรวจพบว่ามี 43% ที่ทุกวันนี้ใช้ชีวิตยืดหยุ่นอยู่ ส่วนอีกกว่า 75% เห็นตรงกันว่า การทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นมีแนวโน้มจะสร้าง Productivity มากกว่า
เราว่าสิ่งที่อยู่ลึกไปกว่าความยืดหยุ่นในการเลือกที่ทำงานด้วยตัวเอง มันคือความรู้สึกว่าบริษัทให้เกียรติและไว้ใจพนักงานในฐานะมนุษย์ผู้มีความรับผิดโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะเป็นคนเลวก็ได้นะ แต่พอบริษัทไว้ใจ มันจะทำให้คนเลวรู้สึกผิด และโพรดักทีฟขึ้นมาเอง (เอ๊ะ ยังไง) แต่เฮ้ย เอาแบบดีๆ คือ การไว้เนื้อเชื่อใจนั้นสำคัญ มันคือการให้เกียรติกัน พนักงานเองก็จะเกิดภาวะความรับผิดชอบอันเกิดจากตัวเอง ไม่ใช่จากการบังคับ แบบนี้มันยั่งยืนกว่าการใช้กฎมากะเกณฑ์กันนะ
ซึ่งก็สอดคล้องกับผล สำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมอื่นๆ ขององค์กร ที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกในแง่ดีจากเหล่ามินเลนเนียล เช่น บรรยากาศแห่งความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรมองค์กรแบบเปิดกว้าง การสื่อสารและให้ฟีดแบ็ค
มีอีกข้อที่น่าสนใจ คือสัปดาห์แห่งการทำงานในฝันของชาวมิลเลนเนียล ว่าพวกเขาอยากจะใช้เวลาในสัปดาห์นั้นไปกับอะไรบ้าง ผลออกมาคือ พวกเขาอยากใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดคุยเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้าน Leadership ที่เหลือคือเช็คและตอบอีเมล และสุดท้ายคือได้รับเวลาในการสอนงานจากเหล่าเมนเทอร์ ดูช่างเป็นหนึ่งอาทิตย์ของการทำงานที่เลอเลิศ
แต่ความเป็นจริงคือ เวลาเกือบครึ่งของสัปดาห์หมดไปกับอีเมล โถ เจ้ามิลเลนเนียลน้อย
และสุดท้าย ที่จะถือว่าสรุปทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมายาวเหยียดก็คือ มิลเลนเนียลต้องการที่จะรู้สึกว่าพวกเขานั้นเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตการทำงาน ของพวกเขาเองได้ หากองค์กรไหนทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้น ก็มีโอกาสที่จะได้รับความภักดีเป็นสิ่งตอบแทน
_________________________________
สุดท้ายแล้วยังไงมนุษย์เงินเดือน ก็ยังต้องขับเคลื่อนด้วยเงินเดือนเป็นหลักแหละนะ มิลเลนเนียลก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าได้เงินแบบสมเหตุสมผล ดำรงชีวิตได้ มีพอเหลือไปใช้ชีวิต พวกเราก็โอเค แต่สิ่งที่สำคัญและเราก็ต้องการไม่ต่างจากเงิน ก็คือ "ความภูมิใจในตัวเอง" เป็นความรู้สึกดีต่อตนเอง ว่านี่เรากำลังทำงานที่มันมีคุณค่าอยู่ และงานของเรามีความสำคัญต่อองค์กร องค์กรก็มีบทบาทในการยกระดับสังคมให้ดีขึ้น พอบอกใครว่าเราทำงานที่ไหน เราก็ยืดอกได้ อาจจะดูว่าพวกมิลเลนเนียลขี้เอาแต่ใจ คิดถึงตัวเอง หยิ่งผยอง ไปซักหน่อย (ซึ่งก็จริงแหละนะ) แต่มันก็เป็นผลมาจากสังคมที่เปลี่ยนไป วิธีการเลี้ยงดู และโลกในยุคที่เราเติบโตมาหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนั้น
มิลเลนเนียลเองก็ต้องเข้าใจความต่างเช่นกันนะ เราอาจจะกำลังเป็นที่สนใจ เป็นกำลังสำคัญที่จะเคลื่อนโลก แต่ประสบการณ์ และความเก๋าของคนรุ่นที่แล้วยังไงก็ยังสำคัญ และต้องดูดพลังเหล่านั้นมาสะสมไว้ที่เราให้ได้มากที่สุด เปิดกว้างยอมรับในความแตกต่าง ทำความเข้าใจกับมัน และบริหารวิธีการที่เราจะรีแอ็คกับคนเจนต่างๆ ให้เหมาะสม การทำงานก็จะราบรื่นขึ้น และเราเองก็จะยิ่งสตรองขึ้นด้วย
ไปพวกเรา กลับไปตั้งใจทำงานกันต่อ!
(เนื่องจากเพิ่งหมดช่วงงานหนังสือ แล้วก็อ่านจบแบบรัวๆ ก็เลยอัพรวมรวดเดียวไปเลยละกัน เล่มไหนอยากเขียนยาวเดี๋ยวค่อยเขียนอีกที)
Made in Thailand 2
(2557, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, สำนักพิมพ์ a book)
แม้ว่าหลังๆ จะไม่ค่อยได้อ่านแล้ว แต่ทุกครั้งที่ซื้อ A Day ก็จะต้องตามอ่าน Made in Thailand ของพี่เต๋อ และขอบพระคุณมากที่ทำการรวมเล่มให้จะได้จัดเก็บได้อย่างสะดวก
พี่เต๋อเป็นนักเขียนหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจิกกัด แขวะ เสียดสี แดกดัน กระทบกระแทก กระแนะกระแหนได้โดยไม่ค่อยอยากโกรธแกเท่าไหร่ เพราะน้ำเสียงแกฟังดูจะหยอกล้อและน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะเข้าใจว่าแกมองกดใคร เป็นวิธีการเขียนที่ต้องศึกษาเป็นอย่างยิ่งเพื่อเป็นประโยชน์ในการหลอกด่าคนแบบเนียนๆ แล้วเค้าไม่เจ็บช้ำน้ำใจ (มันดีเหรอวะ)
ที่รู้สึกเป็นเกียรติมากคือการได้มีชื่อตัวเองอยู่ในหนังสือพี่เต๋อ ในฐานะผู้แนะนำคลิป "เอากันในน้ำ" ปรากฏในบทที่สองของหนังสือเล่มนี้ รู้สึกภาพลักษณ์ตัวเองดีมาก ที่วันๆ ก็เปิดคลิปดูคนเอากันในน้ำแถมยังแชร์ขึ้นหน้าวอลล์ตัวเอง สมเป็นวัยรุ่นไทยหัวใจค่านิยม 12 ประการดีจริงๆ เลยเรา
------------------------------------------------
Japan Gossip เมาท์ญี่ปุ่นให้คุณยิ้ม
(2557, เกตุวดี, สำนักพิมพ์มติชน)
ชอบอ่านงานเขียนของคุณเกตุวดีใน Marumura เลยซื้อหนังสือแกมาอ่าน แต่กลายเป็นว่าเหมือนเนื้อหามันใช้ความสามารถคุณเกตุวดีไม่หมดอ่ะ แบบแกดูมีคอนเทนท์เยอะมาก และเราก็อยากฟังแกเล่าเรื่องญี่ปุ่นในมุมมองของคนในมากๆ แบบเรายินดีที่จะอ่านตัวหนังสือพรืดๆ ที่เขียนโดยคุณเกตุวดีโดยไม่มีทางบ่น แต่เล่มนี้มันออกแนวหนังสือแนะแนว ฮาวทูนิดๆ เหมาะกับคนที่จะไปทำงาน ไปเรียน หรือต้องร่วมวงสังคายนากับคนญี่ปุ่นบ่อยๆ แต่จริงๆ นะ มันลึกกว่านี้ได้อีกอ่ะ เขียนอีกเถอะค่ะ เอา Text เยอะๆ เลย เรารออ่านอยู่
------------------------------------------------
เอ๊ะ!! เจป๊อป A GUIDE TO JAPANESE POPULATION
(2557, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน)
ชอบเนื้อหาของเล่มนี้มากกว่าสองเล่มที่แล้ว (เอ๊ะ เจแปน, เจแปน Did) ไม่ได้แปลว่าสองเล่มที่แล้วไม่ดีนะ แค่เราอินหลายๆ เรื่องในเล่มนี้มากกว่า อาจจะเป็นเพราะมันเริ่มเป็นกลุ่มคนที่ธรรมดาแล้วอ่ะ แบบเด็กนักเรียนมัธยม, คุณแม่บ้าน, ตำรวจ ฯลฯ มันรีเลทกับเราดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมให้คะแนนเล่มนี้มากกว่าเล็กน้อย
ขอสถาปนาตนเองเป็นแฟนหนังสือของคุณนัทคุง ขอให้เขียนต่อไป ยังไม่หมดหรอกกลุ่มคนทั้งหลายในญี่ปุ่น จริงๆ อยากให้เขียนถึงพวกละครและหนังด้วย หวังว่าจะได้อ่านในเล่มต่อไปและต่อไป :)
ได้อ่านบทความที่ว่า เหตุผลที่เราควรเที่ยวคนเดียวซักครั้งในชีวิต ในฐานะที่เคยเที่ยวคนเดียวสามสี่ครั้ง ทั้งในและนอกประเทศ จนเหมือนจะเป็นความชอบ เลยอยากบันทึกถึงเรื่องนี้เอาไว้บ้าง และพบว่ามีอยู่ 10 ข้อ ที่จะเกิดขึ้นกับเราเวลาไปเที่ยวคนเดียว ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมด และก็ไม่ได้เลวร้ายน่ากลัว เป็นข้อสังเกตที่มาจากประสบการณ์ของเราเอง อ่ะ ลองไปดูกัน...
1. อยากทำอะไรก็ทำ
อันนี้คือข้อดีที่สุดของการไปเที่ยวคนเดียวในความเห็นเรานะ เพราะปกติถ้าไปกับเพื่อนเป็นโขลง หรือต่อให้ไปสองคนก็เหอะ มันต้องมีความเกรงอกเกรงใจ เราชอบหยุดถ่ายรูป ซึ่งถ้าคนที่ไปด้วยไม่ถ่ายรูป เขาก็จะเดินนำไปละ ดังนั้น เราก็จะถ่ายรูปอย่างด่วน เอาให้จบไวๆ แล้วก็วิ่งตามเพื่อนไป
แต่กับการไปคนเดียว ถ้านึกอย่างจะถ่ายรูป ต่อให้เป็นรูปที่ไร้เหตุผล เช่นรังแตนที่ติดอยู่บนยอดต้นข่อย เราจะทอดเวลาไปกับการถ่ายมาโครให้เห็นดีเทลของรังแตนไปสองชั่วโมงก็ไม่มีใครว่า เพราะไม่ต้องเกรงใจใคร และไม่มีใครรอเราอยู่ เป็นช่วงเวลาปลดปล่อยความต้องการเบื้องลึกที่เก็บซ่อนไว้มานานของมนุษยชาติ
อนึ่ง การเที่ยวคนเดียวนั้นเหมาะมากสำหรับการไปพวก พิพิธภัณฑ์, แกลเลอรี, หอศิลป์, ปางช้าง, สถานีอวกาศ, อาบอบนวด (พอแล้ว)
2. ไม่เขินเวลาหลง
คนเรามันก็มีฟอร์มไง ทีนี้ถ้าไปกันหลายคนแล้วเราพาเพื่อนหลงนี่มันก็เขินใช่มั้ย แต่ถ้าเราไปคนเดียว ประสบการณ์เสียฟอร์มทั้งหลายมันจะอยู่กับเราคนเดียวนี่แหละ
ปล. ส่วนใหญ่ถ้าเราเดินหลง แล้วมาเขียนเล่าเรื่องในบล็อกมักจะใช้คำว่า "เดินเล่นสำรวจเมือง" ดูไม่เสียฟอร์มแถมเท่อีกต่างหาก (เท่ตรงไหนฟะ)
3.ชีวิตมันช้าลงนิดนึง
ข้อนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการไปเที่ยวคนเดียว หรือจากการเที่ยวแบบอันแพลน เพิ่งมารู้สึกตอนไปเที่ยวคนเดียวครั้งล่าสุดนี่แหละว่าเวลามันผ่านไปช้าจัง มันคงไปเกี่ยวโยงกับข้อแรก คือเราได้ใช้เวลากับสิ่งที่เราสนใจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องไปเสียเวลากับอะไรที่เราไม่สน ไม่ต้องรอใคร และไม่ต้องให้ใครรอ รู้สึกนิ่งขึ้น และได้ใช้เวลาไตร่ตรองตัวเองมากขึ้นนิดนึง
4. กินได้ไม่เต็มที่
การเที่ยวคนเดียวมันดีตรงที่เราอยากกินอะไรก็กิน แต่เสียตรงที่กินได้ไม่มาก ปัจจัยหลักคือไม่มีเงินโว้ย ปกติถ้าไปกันหลายคน เราก็จะสั่งอาหารแบบ N+1 (จำนวนคนที่ไป บวกไปอีกหนึ่งอย่าง) ก็จะได้ชิมอาหารหลากหลายเมนู แถมหารเงินได้ด้วย แต่พอไปคนเดียว จะสั่งแบบมุทะลุอย่างนั้นก็ได้ แต่เราจะกินไม่หมด และเราจะไม่มีเงินจ่าย เป็นคนล้มละลาย ช่างน่าอับอาย โดนคนในพื้นที่ทำร้าย ทรมานร่างกาย พอแล้ว..
ดังนั้น เวลาเราไปเที่ยวคนเดียว ก็เลยจะตัดเรื่องอาหารไปเลย แบบว่าจะไม่โฟกัสกับของกินนะ กินเพื่ออยู่นะมึงนะ ดีกรีการตามล่าของอร่อยก็จะอยู่ในเลเวลสี่ คือพอแหลกล่าย คนพื้นที่เขากินกัน ราคาเป็นกันเอง
5. ขาดตัวหาร
ต่อเนื่องจากเรื่องกิน เรื่องการเดินทาง หรือการเที่ยวแบบเหมาลำในบางที มันจะดีกว่าถ้าเรามีตัวหาร เช่น ถ้าเราไปเที่ยวในเมืองที่ระบบขนส่งมวลชนไม่อำนวย เราก็ต้องขึ้นแท็กซี่ หรือเหมารถสองแถว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราไปคนเดียวเอ็งก็จ่ายคนเดียวไปนะสิ ถ้าเรากระเป๋าหนักก็ว่าไปอย่าง แต่คิดว่าส่วนใหญ่เราไปเที่ยวก็เขียมกันสุดฤทธิ์ (สังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของกระทู้ประเภท เที่ยว XXX ด้วยงบ XXX กระทู้ไหนใช้งบน้อยจะยิ่งได้รับความสนใจ ต่อไปคงถึงขั้น 250 บาทก็เที่ยวอเมริกาได้) อะไรที่ประหยัดได้เราก็คงอยากประหยัด
มันก็มีวิธีแก้อยู่บ้าง เช่น ถ้าไม่อยากเหมารถสองแถวก็โบกหารถที่จะผ่านไปแถวนั้น แล้วก็ขออาศัยเขาไปด้วย มันสนุกนะ แต่กว่าจะโบกได้ซักคันมันไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อโบกไปถึงที่หมายได้ แต่หารถกลับมาไม่ได้ก็เคยมาแล้ว ก็เดินกลับอย่างพ่ายแพ้ ปวดขาไปอีกสองวัน
6. ไม่มีใครถ่ายรูปให้
สำหรับท่านที่มีไม้เซลฟี่ก็อาจจะไม่คิดว่ามันเป็นปัญหามากเท่าไหร่ แต่เอาจริงๆ ก็เขินนะถ้าต้องถืออีไม้เซลฟี่ถ่ายรูปกับสถูปเจดีย์อยู่คนเดียว ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาคงคิดในใจว่าให้ป้าช่วยถ่ายมั้ยหนู แต่พอเราให้ป้าถ่าย รูปที่ออกมาก็มักไม่ถูกใจศิลปินแห่งชาติอย่างเราๆ ปากก็บอก "ขอบคุณนะคะป้า รูปสวยมากเลย" พอป้าเดินไปก็คิดกันในใจว่า มุมกล้องของคุณป้ากว้างซะจนต้องไปพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลแล้วล่ะว่าอีในภาพนี่ใช่เราแน่ๆ เหรอวะ
7.ได้เจริญสติ
การเที่ยวคนเดียวมันมีอิสระก็จริง แต่มันก็อันตรายเหมือนกัน ทั้งระหว่างเดินทาง ระหว่างเดินเที่ยว ไหนจะข้าวของมีค่า ไหนจะพรหมจารีที่ถือมาด้วย โอ๊ยมันช่างละเอียดซับซ้อน
อย่างตอนไปเที่ยวคนเดียวครั้งล่าสุด แรกทีเดียวแพลนว่าจะขึ้นรถไฟตู้นอน เพราะข้อดีคือเราได้นอนเหยียดยาว พอเช้าตื่นมาก็ถึงพอดีแล้วออกเที่ยวได้เลยไม่เมื่อยเนื้อตัว แต่คิดอีกที เราเป็นคนหลับลึก ถ้าระหว่างหลับใครเขามาเอาบุหรี่จี้เราก็ไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนใจ ขึ้นรถทัวร์ไปแทน
ทางที่ดีคือต้องรู้ตัวเราตลอดเวลาว่าทำอะไร ระวังแต่ไม่ใช่ระแวง ไม่งั้นตอนเที่ยวมันไม่สนุก เราว่าแค่มีสติอยู่ตลอดเวลา ก็เพียงพอในระดับนึงแล้วสำหรับการเที่ยวคนเดียว
8. คนข้างๆ
เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้นั่งข้างใครบนรถทัวร์ มันไม่ใช่ในละครที่จะเจอพระเอกกล้ามล่ำ ที่เราสาวเปิ่นนอนหลับแล้วเผลอเอียงหัวไปซบไหล่เขาน่าเอ็นดู จนกลายเป็นความรัก เรารับได้รึเปล่าถ้าต้องนั่งข้างคุณลุงที่นอนกรน และขากสเลดตลอดเวลา, รับได้รึเปล่าถ้าคนข้างๆ เท้าเหม็นระดับเก้าต้องเอายาดมยัดจมูก, รับได้ไหมถ้าคนข้างๆ ขยับร่างกายคล้ายซ้อมยูโดไปตลอดทาง หรือไม่ก็ตดตลอดเวลาแต่ทำท่าเนียนๆ ว่ากูไม่ได้ตดนะจ๊ะ
เราเลือกคนข้างๆ ไม่ได้ และก็เช่นเดียวกัน เราก็เป็นคนข้างๆ ของคนอื่นเหมือนกัน นึกถึงเขา นึกถึงเราเอาไว้จะดีที่สุด
9. บรรดาคนแปลกหน้า
การเที่ยวคนเดียวเปิดโอกาสให้เราได้พบเจอคนใหม่ๆ ตั้งแต่ออกเดินทางและระหว่างทาง อันนี้เราว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวแล้วว่าคุณไปเที่ยวคนเดียวเพื่ออยู่กับตัวเองคนเดียว หรือออกเดินทางคนเดียวเพื่อทำความรู้จักใครก็ไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างหลัง สิ่งที่ต้องทำคือพูด ถ้าคิดว่ามันยากก็เริ่มจากการถามคำถามก่อนก็ได้ เช่น "รถนี่มันจะไปจอดที่ไหนนะคะ" "ร้านนี้ไปทางไหนอ่ะพี่ มีคนแนะนำมาว่าอร่อย หรือพี่มีร้านอื่นอร่อยแนะนำมั้ยคะ" แล้วก็ค่อยต่อยอดบทสนทนาต่อไป
ส่วนตัวเวลาเราไปเที่ยว แม้จะเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน แต่เมื่อได้คุยกันจริงๆ แล้วจะชอบฟังมากกว่า สมองจะทำงานหนักมากเพราะต้องคิดคำถามให้พี่เขาพูดต่อ อย่าหยุดพี่ อย่าหยุด จนคนที่คุยด้วยคงอยากด่าว่ามึงจะถามอะไรกูนักหนาวะ
สิ่งที่ดีของการคุยกับคนแปลกหน้าเวลาไปเที่ยว คือเราจะมีคนและเรื่องเล่า ที่จะกลายเป็นภาพจำเมื่อนึกถึงที่นั้นๆ ในแบบที่กูเกิ้ลไม่สามารถหาได้เจอ
10. เรื่องเล่าของเราเอง
ทุกการเดินทางจะมีเรื่องเล่าเสมอ ไม่ว่าจะไปกันกี่คน กับเหตุการณ์นึงที่เจอ แต่ละคนก็จะมีเรื่องเล่า หรือมุมมองความคิดเห็นต่อสิ่งนั้นแตกต่างกันในระดับโมเลกุลอยู่แล้ว แต่สำหรับการไปคนเดียว สิ่งที่เราเห็นและเจอ จะเป็นความทรงจำส่วนตัว เป็นเรื่องเล่าเฉพาะ ที่มีเราคนเดียวที่ได้เห็นและรับรู้ เก็บเอาไว้คิดถึงให้สยิวกิ้วอยู่คนเดียวเวลานั่งคว้างๆ ตอนตีสอง
แต่ก็นั่นแหละ ทุกการเดินทางมีเรื่องเล่าเสมอ ไม่ต้องไปคนเดียว ก็มีเรื่องเล่าเหมือนกัน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เราว่าการเที่ยวคนเดียวมันเป็นความชอบ เป็นรสนิยมส่วนบุคคลนะ คือ มันไม่ใช่กิจกรรมชิคๆ คูลๆ เพื่อบอกว่าตัวเรานี้เป็นฮิปสเตอร์เราจึงไปเที่ยวคนเดียว หรือในอีกทาง มันก็ไม่ได้อันตรายน่ากลัว จนต้องแพนิคกันเกินเหตุ บางทีมันก็เป็นจังหวะเวลาของคนเรา ที่ปกติอาจจะไม่ได้ชอบเที่ยวคนเดียวหรอก แต่ฮอร์โมนช่วงนั้นมันแปรปรวนก็เลยหิ้วกระเป๋าออกจากบ้าน ตัดภาพอีกทีคือไปโผล่ในป่าดิบชื้นทางภาคใต้นั่นแล้ว
เรากลับไม่อยากให้มองว่าการทำอะไรคนเดียวเป็นเรื่องแปลก ไม่ต้องถึงขั้นเที่ยวคนเดียวหรอก แค่ไปดูหนังคนเดียว, กินข้าวกลางวันคนเดียว, ขี้คนเดียว (อ๋อ เค้าขี้คนเดียวกันอยู่แล้วนะ) ฯลฯ มันเป็นเรื่องที่ทำกันได้ ไม่ได้แปลก ไม่ได้เหงา ไม่ได้เปลี่ยว ไม่ได้เกลียดโลก ไม่ได้ต้องเฝ้าระวัง มันก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่คนเราก็ทำได้เหมือนกัน ให้คุณค่าไม่ต่างจากการทำอะไรหลายคน และสกิลการทำอะไรด้วยตัวคนเดียวได้ มันก็จำเป็นต่อการดำคงชีวิตอยู่เหมือนกันนะ