Showing posts with label Blog. Show all posts

Sing Street: แด่การเติบโตและคนรุ่นที่แล้ว

Sing Street

(2016, John Carney, A) 



- น่าจะเป็นหนังของ John Carney ที่เราสนุกกับมันที่สุด คือด้วยตัวหนัง วัยของมัน ฉากหลัง พลอททั้งหมด เอื้อให้มันเป็นหนังสนุกอยู่แล้ว บวกกับความชอบหนังแบบ Coming of Age ของตัวเองเข้าไปอีก เลยทำให้ยิ่งสนุก และชอบ Sing Street มากเข้าไปอีก

- มันเป็นหนังฟอร์มวงแบบพวก School of rock ซักซี้ด หรือ Swing girl แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว เพราะมันไม่ได้ไปโฟกัสกับความแปลกแยก ความลูสเซอร์อะไรพวกนั้น ตอนแรกเราคิดว่าหนังจะเล่าแหละ แต่เอาจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันไม่ได้ไปเสียเวลากับตรงการฟอร์มวง หรือเน้นความเนิร์ด ความกีค ความเละๆ เทะๆ ของไอ้พวกนี้ แต่ทรีทตัวละครเป็นนักดนตรีที่พอใช้ได้ เป็นวงที่โอเควงนึง แล้วให้เวลากับการฉายภาพให้เห็น กระบวนการสร้างเพลงเพลงนึง ว่ามันเป็นชิ้นส่วนของชีวิตศิลปินเหล่านั้นยังไง และมันทำให้ศิลปินเติบโตไปยังไง

- ได้อ่านสัมภาษณ์ของ John Carney เขาบอกเอาไว้ว่าอยากให้คนได้ดู creative process ของศิลปิน ซึ่งมันก็จะเริ่มจากตอนที่เป็นวงโรงเรียนนี่แหละ วัตถุดิบที่จะหยิบจับมาทำเป็นเพลงมันก็ไม่ได้มีมาก ถ้าชีวิตราบรื่นมาก วัตถุดิบก็อาจน้อย แต่ถ้าชีวิตมันชักจะหวานขม หรือที่ในหนังเรียกว่า Happy-sad เพลงก็จะมีเรื่องเล่า มีอารมณ์ กระบวนการสร้างงานศิลปะซักชิ้น ต้องประกอบขึ้นจากประสบการณ์ จากการเผชิญหน้า จากการใช้ชีวิต จากการได้เป็นมนุษย์

- ฉากหลังของหนังเซทไว้ว่าอยู่ในยุค 80 วัยรุ่นวง Sing Street ก็คือคนรุ่นพี่ หรือน้าของเรา เราว่ายุคสมัยมันสำคัญ และน่าสนใจมาก เพราะการเติบโตของวัยรุ่นในต่างยุคสมัย ยังไงก็ต่างกันในรายละเอียด แต่น่าสนใจพอกัน

- ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เมื่อหนังทำให้เราเห็นว่า ไอร์แลนด์ในยุคสมัยนั้นมันไร้ซึ่งความหวัง เมืองทำลายความฝันของหลายชีวิต ใครที่พอมีลู่ทาง ก็ขอไปหาโอกาสเอาดาบหน้าที่อื่นจะดีกว่า มันเป็นความฝันแบบดั้นด้นดิ้นรนดิบๆ แบบที่คนเจนวายอาจจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่

- คนเรามันก็ต้องดิ้นรนกันทุกยุคสมัยแหละ แค่ว่าในรายละเอียดเราดิ้นรนกันคนละแบบเท่านั้นเอง

- มีฉากนึงที่เราชอบมาก คือเป็นตอนที่คอนเนอร์ (Ferdia Walsh-Peelo) คุยกับเบรนแดนพี่ชาย (Jack Reynor) แล้วเบรนแดน (ที่คอนเนอร์มองเป็นเหมือนพระเจ้า ไว้ใจให้เป็นที่ปรึกษา เป็นกูรูของชีวิต) บอกกับเขา ว่าคอนเนอร์เพียงแค่เดินตามทางที่พี่ชายถางเอาไว้ให้ ลูกคนเล็กที่เกิดมาในตอนพ่อแม่โอเคแล้ว ไม่ได้ต้องรับรู้หรือผ่านช่วงเวลายากลำบากของการก่อร่างสร้างครอบครัวเหมือนที่เขาต้องเจอหรอก

- เราชอบประเด็นนี้ (ที่ไม่ค่อยได้เห็นในเรื่องอื่นเท่าไหร่) เราคิดถึงพี่ชาย ที่มันคงอยากพูดเหมือนกับที่เบรนแดนพูด เราเป็นลูกคนเล็ก ที่แม้ชีวิตจะไม่ได้สบาย แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าลำบาก พ่อแม่ตามใจเราได้หลายอย่าง เพราะว่าครอบครัวโอเคแล้ว แต่กับพี่ชายที่แก่กว่าเราเป็นสิบปี ต้องผ่านเวลาที่พ่อแม่ลำบากสุดๆ ซีนอารมณ์สุดๆ ต้องเสียสละ และทิ้งโอกาสบางอย่างในชีวิตไป มันอาจเป็นบาดแผลในการเติบโตของเขาก็ได้

- แต่มันเป็นความผิดของเรา หรือคอนเนอร์เหรอ ก็ไม่ใช่หรอก เพราะไม่มีใครเลือกตั้งแต่เกิดได้ว่าอยากได้คอนดิชั่นในชีวิตเป็นแบบไหน เราก็แค่คว้าโอกาสเท่าที่จะพอจับหาได้ในชีวิต แล้วทำมันให้เต็มที่ เท่าที่ชีวิตจะให้เรามา

- การขับรถไปส่ง และร่ำลาน้องชายที่ท่าเรือของเบรนแดน มันเลยดีมาก และเรารู้สึกกับฉากนั้นมากๆ ไม่มีการกอดลา แต่เรารู้ว่าพี่ชายคงเอาใจช่วยและอวยพรเราอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง และเราก็หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีเช่นกัน

- อีกฉากที่ชอบคือตอนเพลง To Find You อันนั้นทำงานดีมาก น้ำตาซึมเลย ฮือออ (ไปดูเองนะ)

- แต่กลายเป็นว่าเพลงที่ชอบสุดคือ Riddle of the model 5555 โคตรดี

- ประเด็นเรื่องโรงเรียนเราเฉยๆ ชาวไทยก็อาจจะเฉยๆ เพราะแต่ละคนเจอมาหนักกว่านี้แน่นอน และเจ้าเด็กในเรื่องก็ตอบโต้ครูไม่แซ่บเท่าที่ฮอร์โมนได้ทำเอาไว้ กะอีแค่ให้ใส่รองเท้าดำ จะไปสู้บัตตาเลียนกร้อนผมตอนเช้า กับเอาปากกาเคมีเขียนขากางเกงได้ยังไง

- ในตอนท้ายของหนัง ที่ขึ้นคำอุทิศให้ว่า To all brothers เลยอยากให้เปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นเมืองไทยว่า "แด่ทุกโรงเรียนในประเทศนี้" เย้

- น้อง Ferdia ก็ดีนะ ยิ่งช่วงท้ายๆ ที่น้องจับกีตาร์ร้องเพลงไปด้วยนั่นยิ่งดี แต่เอม่อน (Mark McKenna) นี่คือเท่สุดๆ แล้ว โอย ขอตามเป็นติ่งน้อง

- ทั้งหมดทั้งมวลคือการสรรเสริญ ชวนให้ไปดู ถ้าไม่ได้ชอบเพลง คุณจะสนุกกับหนัง แต่ถ้าชอบหนัง คุณจะรักเพลงตามไปด้วย ดี ไปดูเถอะ

45 Years: กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง

45 Years
(2015, Andrew Haigh, A)



ลำพังแค่พลอทหนังมันไม่มีอะไรเลยนะ แต่หนังมันดีจนดีมากได้เพราะการแสดงล้วนๆ เลย ด้วยพลอทแล้วมันเหมือนเนื้อหาในเพลงร็อคไทยที่พูดเรื่องคนรักเก่ากับคนที่อยู่ตรงนี้ แล้วพี่นักร้องก็จัดการฟูมฟายโหยหวนไปกับความเศร้านั้น หนังมันก็เล่าเรื่องเดียวกันแบบนั้นแหละ แต่ไม่เว้ย หนังมันแกร่ง ไม่ฟูมฟาย ไม่เพ้อเจ้อ เพราะจะมาเพ้อเจ้าฟูมฟายเวิ่นเว้ออะไรนักหนา อายุหกเจ็ดสิบกันแล้ว หมดเวลาจะไปทำแบบนั้น ภาพในหนังมันเลยจริงมาก สิ่งเดียวที่ทำให้เราอยู่กับหนังได้ ก็คือการแสดงของทุกตัวละครในนั้น ซากปรักหักพังทั้งหลายมันรวมอยู่ในดวงตาของป้า Charlotte Rampling หมดแล้ว ไม่ต้องเล่าให้ใหญ่ ไม่ต้องโหมประโคมเพลงอะไรแล้ว จบในดวงตา Smoke gets in your eyes ของแท้

เคยนึกภาพตัวเองและผัวตอนแก่ และยังคุยกันเล่นๆ ว่าตอนนั้นเราจะเป็นยังไง รวมๆ แล้วภาพที่คิดคือเราคงยังจิกกัดด่ากันแบบทุกวันนี้อยู่ ความซาบซ่าคงลดลง เป็นตัวของตัวเองกันมากขึ้น ร่างกายเราคงเหี่ยวเฉา สภาพที่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยดี ถึงตอนนั้นมันคงยิ่งแย่ เรื่องที่เคยทะเลาะกันวันนี้ ถึงตอนนั้นคงไม่ทะเลาะแล้ว แต่คงมีเรื่องใหม่ๆ ให้ต้องขัดใจกันอีกจนได้ ชีวิตคู่มันมีรายละเอียดมากกว่าแค่ความรักนะ มันเป็นศิลปะเฉพาะคู่ แต่ก่อนก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ตอนนี้พอจะเห็นภาพชัดขึ้นละ

เวลา 45 ปีของชีวิตคู่มันนานนะ สิบปีแรกคงเต็มไปด้วยพลัง ยี่สิบปีเริ่มเหนื่อย สามสิบปีเริ่มวาง สี่สิบปีคงอยากพักแล้ว มันคงนิ่งและรอวันตายจากกัน นานจนทุกวันก่อนนอนคงอยากภาวนาให้พรุ่งนี้มีแต่ความราบเรียบเถอะนะ แต่พอมารู้เรื่องที่ไม่เคยรู้เลยตลอดสี่สิบกว่าปี มันเลยเป็นช่วงเวลาแสนกระอักกระอ่วน ความผูกพันมันมีอยู่ ความรักก็ยังเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือความไม่เชื่อใจ ที่เสือกมาปรากฏเอาตอนโค้งสุดท้ายของความสัมพันธ์แล้ว กลับตัวก็ไม่ได้ แต่จะอยู่ร่วมกันให้ราบเรียบ เย็นใจ เหมือนที่ผ่านมาก็ไม่รู้จะทำยังไง ดูเหมือนเราจะเข้าใจป้า แต่เอาเข้าจริงเราจะไม่เข้าใจหรอก เพิ่งสองปีเองมึง มึงไม่เข้าใจป้าหรอก

เราว่าทุกความสัมพันธ์นั้นมีความลับ ต่อให้บอกว่าผัวเมียควรเล่าทุกเรื่องให้กันและกันฟังได้ ควรแบ่งปันทุกข์สุขต่อกันได้ นั่นก็จริงนะ แต่กับบางเรื่อง น่าจะดีกว่าที่มันจะอยู่กับเราคนเดียว และภาวนาให้มันอยู่แค่เราคนเดียว ไม่มีวันแพร่งพรายออกไป แต่พอความลับนั้นอยู่กับเรา และเรายังรู้สึกกับมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หวงแหนทะนุถนอมความลับนั้น จนถึงวันที่เราคิดว่าเราจัดการกับมันได้ กลายเป็นความไม่ลับ นั่นแหละถึงเพิ่งรู้ตัวเองว่าเราอ่อนแอเหลือเกิน ไอ้ความลับมันเล่นงานเราซะแล้ว เล่นงานอย่างหนักตอนที่ร่างกายและหัวใจเรากร่อนแก่ อยากพักผ่อน บาดแผลนี้จึงเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง

อีกอย่างคือคนเราก็เลือกจะเชื่อในสิ่งที่เราอยากจะเชื่อ โดยธรรมชาติมนุษย์คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มองโลกในแง่ร้าย สลัดความคิดวนเวียนที่คอยทำร้ายตัวเราออกไปไม่ได้ เราเลยต้องยิ่งขุดลงไปให้ลึก จมไปกับมัน บิดให้มันใกล้เคียงกับที่เราอยากให้มันเป็น นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วเศร้า จากนี้จะมีแต่ความเศร้า จากนี้โลกของฉันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เราออกจากโรงมาด้วยความรู้สึกคลุมเครือ เหมือนใครเอากระดาษไขมาห่อหัว คนดูเองก็โดนทำร้ายไม่ต่างจากมิสเตอร์แอนด์มิซซิสเมอร์เซอร์ เราเห็นทุกอย่างแต่เราไม่เข้าใจ เหมือนที่ตัวละครเองก็ยังไม่เข้าใจ รู้แค่ว่ามันเศร้าและสับสน ยังดีที่เราออกจากโรงมาแล้วก็จบกันนะ การเฝ้ามองมันดีอย่างนี้ แต่กับสองลุงป้า หลังงานเลี้ยงคืนนั้น คงมีอีกหลายเรื่องให้ต้องเศร้า ความรักความผูกพันที่จริงนั้นแสนจะโหดร้าย ลุงป้าคงคิดในใจว่าพวกกูแก่จะตายห่าแล้วทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ พูดจบป้าเคทก็เดินไปเผาห้องใต้หลังคา เปิดตำนานอีป้ามหาโหด จบหักมุม

Steve Jobs: พ่อก็คือพ่อ

Steve Jobs
(2015, Danny Boyle, A)



พ่อก็คือพ่อ หมายถึงสตีฟ จ๊อบส์ เหรอ เปล่าเลย แอรอน ซอร์กิ้น พ่อทุกสถาบัน บทแบบนี้แอรอน ซอร์กิ้นทำได้คนเดียวเท่านั้นแหละ บีก็ทำไม่ได้ คริสเหรอ อย่าหวังเลย นั่งคิดว่าถ้ากูต้องมาเขียนอะไรแบบนี้ น่าจะขาดใจตายไปตั้งแต่ขึ้นหน้าที่สิบแล้ว เพราะมันเค้น อีเหี้ย คนเหี้ยอะไร จะขึ้นพรีเซนท์หน้าเวทีแต่ต้องมาไดอาล็อกดราม่าทั้งชีวิตกับตัวละครนู้นนี้ เป็นวรรคเป็นเวร แล้วคุยกันธรรมดาก็ไม่ได้ อีบ้า จะเชือดเฉือน เค้นห่าอะไรกันนักหนา พอ พอแล้ว กูเหนื่อย (ดูเป็นคำด่า แต่จริงๆ คือชมหมดเลย)

เอาจริงตอนต้นมีเคลิ้มๆ แล้วเผลอหลับไปนิดนึงนะ เพราะเมาไดอาล็อก แม่งพูดจนกูจับต้นชนปลายไม่ถูกละ แต่พอตั้งสติได้ ทีนี้นั่งไม่ติดเบาะละ ทั้งที่หนังแม่งมีอาวุธอยู่แค่อย่างเดียวเลย คือบทพูด ชอบการเลือกใช้วิธีนี้ในการเล่าหนัง เข้าใจเลยนะว่าคงอยากหาทางใหม่ๆ เล่าชีวประวัติคน ไม่งั้นมันก็ธรรมดา พอมาเลือกวิธีนี้ โอเค มันจะมีความรำคาญนิดหน่อย ว่าโอ๊ย แม่งจะต้องมาเกิดตรงนี้ทุกเรื่องเลยแหละ ผ่านไปสิบห้าปีมึงไม่โทรคุยกันบ้างเลยอีห่า ต้องรอมาคุยกันหลังเวทีเนี่ย อีเคทนี่ก็เร่งจัง นับเวลาถอยหลังให้อยู่นั่น ซึ่งเออ เป็นอีกสิ่งที่ชอบ พอมีตัวละครที่มาคอยกำกับเวลา มาคั่น มาขัด มันยิ่งมันส์ โหดเหี้ยมยิ่งกว่าฉากระเบิดตูมๆ ในหนัง ไมเคิล เบย์

ฟาสเบนเดอร์โคตรดี ไม่เคยรู้สึกว่าสตีฟ จ๊อบส์ จะอึ้บ ขนาดนี้ แต่พอเป็นฟาสเบนเดอร์ปุ๊บ ก็อยากให้สตีฟ จ๊อบส์ เวอร์ชันนี้ไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ ไม่ต้องทำแล้วคอมพิวเตอร์ ปลอม เปลือก แต่เอาดีๆ คือถ้าตัดความอึ้บขอบฟาสเบนเดอร์ไป เราก็ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นฟาสเบนเดอร์ ชอบที่สุดคือตอนที่แกแสดงในโหมดพ่อ มันลึกลับซับซ้อนเกินจะเอ่ย แล้วแกเล่นดี ซีนบนดาดฟ้านี่เกือบร้องละ ทั้งที่บาดแผลจากความดุเดือดยังเจ็บจี๊ดๆ อยู่ แต่พอเจอโหมดพ่อลูกกูตายเลย

เคท วินสเลต ต้องเล่นอะไรแบบนี้บ้าง และเล่นแบบนี้ดีแล้ว เป็นผู้หญิงไม่สวยแต่เก่งแบบนี้เหมาะกับเจ๊ที่สุดแล้ว แม่งไปดู The Dressmaker มาแล้วโคตรขัดใจ เคทก็เล่นดี แต่ดูยังไงก็ไม่เชื่อ ไม่เหมาะกับคาแรกเตอร์ ยิ่งพอเข้าฉากกับ Liam Hemsworth ยิ่งเหมือนแม่ลูก เคทดูไปอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่หนังสนุกนะ มัน ผู้หญิงดี อีดอกกก

แล้วพอเจอ ซาราห์ สนู้ก อีเกอร์ทรูดใน Dressmaker มารียูเนียนกับทิลลี่ ที่เรื่องนี้ก็เซอร์เป็นป้า เลยอิ่มใจนิดนึง เป็นคนชอบการรียูเนียนของตัวละครในต่างกรรมต่างวาระ แค่นี้แหละ 555

ถ้าไดอาล็อกในหนังเรื่องนี้เป็นลูกกระสุน คนดูก็โดนยิงจนพรุน แล้วพอไปเจอวิธีของ แดนนี บอยล์ ที่เล่ามันออกมา ทำให้เราตื่นเต้นกับบทสนทนา ยากชิบหาย แต่แกทำได้ และมันสนุกจริงๆ

2016 Millennial Survey: ถึงเวลาที่องค์กรต้องเอาชนะใจ "มนุษย์มิลเลนเนียล"

The 2016 Deloitte Millennial Survey
Winning over the next generation of leaders


(Credit: Deloitte)

Millennial Survey เป็นการสำรวจที่ดีลอยท์ทำต่อเนื่องกันมาทุกปีฉบับนี้เป็นฉบับที่ห้าแล้ว ตั้งแต่เข้าบริษัทนี้มาก็ได้อ่านไปสามฉบับได้มั้ง พบว่ามันสนุกและใกล้ตัวดี ไม่สิ เกี่ยวกับตัวเองเลยแหละ แถมในบางยามที่ต้องพยายามทำความเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ แล้วไม่รู้จะหา insight จากไหน ก็จะได้ผลสำรวจนี้คอยอธิบายให้เข้าใจน้องๆ มากขึ้น เพราะถึงแม้ อะแฮ่ม เราก็ยังสามารถจัดอยู่ในกลุ่มมิลเลนเนียลได้ แต่ก็เป็นมิลเลนเนียลชั้นสูง (อ๋อ ไฮโซ ชนชั้นสูง / ชั้นสูงอายุนี่แหละมึง) อยู่ด้านบนสุดของสังคมมิลเลนเนียล มันเลยเป็นไปได้ว่าพี่ข้างบนกับน้องข้างล่าง แม้จะมีค่านิยมหรือวิธีคิดแบบกว้างคล้ายๆ กัน แต่ในรายละเอียด หรือบางแง่มุม ยังไงก็แตกต่างกันแน่นอนอยู่แล้ว


ปีนี้พอมันออกก็เลยรีบอ่านอย่างตั้งใจ ช่วงนี้อินเรื่องพวกนี้ด้วยมั้ง พออ่านจบแล้วเลยอยากทำโน๊ตย่อเก็บไว้อ่าน และเผื่อใครสนใจเรื่องนี้จะเข้ามาอ่านแบบย่อๆ เบาๆ จับประเด็นได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นน้ำจิ้มไปก่อน ก่อนที่จะไปอ่านฉบับเต็มเพื่อทำความเข้าใจ และใช้ข้อมูลในเชิงอ้างอิง บล็อกเรานี่เอาไปอ้างอิงอะไรไม่ได้เลยนะ แปลถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่าได้ไปอ้างเชียว


อันนี้คือสรุปมาตามความเข้าใจของตัวเองจริงๆ และมีเขียนความคิดเห็นตัวเองเข้าไปด้วย ดังนั้นมันเป็นความเห็นของเรานะ ไม่ใช่ของผลสำรวจเขา อ่านอันนี้พอเป็นน้ำจิ้มไปก่อน แล้วถ้าสนใจก็อ่านเซอร์เวย์ตัวเต็มได้ค่ะ สนุกและได้ประโยชน์จริงอ่ะไป

ออกตัวมายาวเกินไปแล้ว จะขอเข้าเรื่อง ณ บัดนี้

_________________________

Millennial 
กำลังจะครองโลก
จากข้อมูลพบว่า กลุ่ม Millennial นั้นกำลังเป็นตลาดแรงงานใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ในประเทศอื่นก็คงคล้ายๆ กัน ก็วัยหนุ่มสาวน่ะแหละ ก็เป็นวัยทำงานนั้นถูกแล้ว แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ตัวเลขของกลุ่ม Millennial ที่อยู่ในตำแหน่ง Senior position นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เลยจะมาพูดไม่ได้แล้วว่า หนุ่มสาวพวกนี้คือผู้นำในวันข้างหน้า เพราะว่าเขาเป็นตั้งแต่วันนี้แล้วโว้ย

(Credit: Deloitte)
กลุ่มเป้าหมายในการสำรวจ

Millennial กว่า 7,700 คน จาก 29 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วมตอบแบบสอบถามนี้ ทุกคนเกิดหลังปี 1982 (พ.ศ.2525) สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย เป็นลูกจ้างเต็มเวลา ส่วนใหญ่ทำงานในองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ 




(Credit: Deloitte)

งาน Survey นี้เก็บตัวอย่างกลุ่ม Millennial จากสองกลุ่มประเทศ กลุ่มแรกคือ Emerging Markets 4,300 ตัวอย่าง ประเทศในกลุ่มนี้ก็เช่น บราซิล, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, รัสเซีย, เกาหลีใต้ และไทยเราก็อยู่ในกลุ่มนี้นะ แค่ไปซ่อนอยู่ในกลุ่ม MTS คือ Malaysia - Singapore - Thailand ย่อยเข้าไปอีกกกก




ส่วนอีกกลุ่มคือ Developed Markets จำนวนที่เขาศึกษา 3,392 ตัวอย่าง ประเทศพวกนี้เราคุ้นอยู่แล้วแหละ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ อเมริกา โดยมีญี่ปุ่นเป็นเอเชียเพียงประเทศเดียวที่อยู่ในกลุ่มนี้





Part1: ความจงรักภักดีต่อองค์กร



(Credit: Deloitte)

จากการสำรวจพบว่า 25% ของมิลเลนเนียล นั้นเล็งไว้แล้วว่าจะลาออกจากที่ทำงานเดิมแน่นอน ภายในปีหน้า 44% บอกว่าให้อีกสองปีกูไปแน่นอน และอีก 66% บอกว่า ภายในปี 2020 จะไม่เห็นกูอยู่ที่ออฟฟิศเดิมแน่นอน ป่านนั้นถ้าไม่ย้ายงานไปแล้ว ก็แต่งงานมีลูก หรือไม่ก็ออกบวช (หลังๆ นี่เติมเองหมดเลย)


เลยทำให้เห็นว่า Loyalty หรือความภักดีต่อองค์กร ของชาวมิลเลนเนียลนั้นโคตรจะไม่มี ชีวิตนี้ขับเคลื่อนด้วยฟีลลิ่ง แต่ฟิลลิ่งของพวกเรา มันกำลังไปส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจ และการจัดการด้านทรัพยากรบุคคลเลยนะ คิดดูว่าอีก 5 ปี จะมีพนักงานมิลเลนเนียลลาออกไปถึง 66% นี่มันเป็นตัวเลขที่เยอะไม่ใช่เล่นนะโว้ย


ที่น่าสนใจคือ เปอร์เซ็นต์ของคนที่คิดจะออกภายในปี 2020 ในประเทศกลุ่ม Emerging Market นั้นสูงกว่ากลุ่ม Developed Market อย่างชัดเจน เช่น เบลเยียม, สเปน และญี่ปุ่น เปอร์เซ็นอยู่ที่ 50 นิดๆ เท่านั้น (ของคนที่คิดจะลาออก)

แล้วพวกที่ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ หรือเป็นผู้บริหารแล้วล่ะ คงไม่อยากออกหรอกมั้ง โนว ผิดเลยจ้ะ 12% ของเหล่า Division Head / Dept Head บอกว่ากูออกแน่ และ 7% ของกลุ่มที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นบอร์ดบริษัท ก็บอกว่า พร้อมจะไปทุกเมื่อเหมือนกัน

แต่ถึงอย่างนั้น พวกมิลเลนเนียลที่ตอนนี้มีผัวเมียลูกเต้า ก็มีแนวโน้มจะ Loyalty กับองค์กรมากว่าพวกที่ยังโสด ข้อนี้ไม่น่าแปลกใจ ใครๆ ก็ต้องการความมั่นคงเมื่อมีครอบครัวแล้ว



ความภักดีที่หย่อนคล้อย อาจเกิดจากอาการงอน ว่าองค์กรไม่สนใจพวกเขารึเปล่า

เราว่ามิลเลนเนียลมีความมั่นใจในตัวเองประมาณนึงล่ะ ดังนั้น มันก็เป็นไปได้ที่เราจะงอนองค์กร ไม่ใช่การงอนแบบคนรุ่นที่แล้ว ทำนองว่า "ทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่เห็นความดี" อะไรแบบนั้นนะ แต่เราจะงอนแบบ "ฉันยังไม่ได้รับการพัฒนา และ Groom เราไปสู่การเป็นผู้นำในอนาคต จากองค์กรดีพอ" นี่ คิดแบบโคตรมั่นใจในตัวเองใช่มั้ยล่ะ 



จากผลสำรวจบอกว่า แม้จะมีชาวมิลเลนเนียลที่ก้าวไปถึงระดับบริหารแล้วก็จริง แต่กว่า 63% (ใน MTS ตัวเลขสูงถึง 70% เลยด้วยซ้ำ) กลับตัดพ้อว่า "พวกเขาไม่ได้รับการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำอย่างเพียงพอ"



จะเห็นว่ามิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับ Leadership Skill มาก ก็อย่างที่ว่าแหละ เป็นคนรุ่นที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เหิมพอประมาณ พวกเขา (จริงๆ ใช้คำว่าพวกเราก็ได้นะ กูก็มิลเลนเนียลโว้ย) มองว่า Leadership Skill นั้นสำคัญต่อการประสบความสำเร็จของธุรกิจ และในมุมมองของมิลเลนเนียล พวกเขายังไม่รู้สึกว่าองค์กรได้พยายามมากพอที่จะสร้างผู้บริหาร/ผู้นำรุ่นใหม่ ขึ้นมาทดแทนรุ่นเก่าที่กำลังจะผลัดใบ

ในรายงานยังบอกต่อว่า จุดที่น่าสนใจคือ กว่า 71% ของคนที่บอกว่าจะลาออกภายในอีกสองปีนั้นรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับการพัฒนา อย่างเพียงพอ พูดง่ายๆ คือคงน้อยใจว่าอยู่ต่อไปก็คงไม่ก้าวหน้า แต่กับคนที่บอกว่าจะอยู่ถึง 2020 นั้นมีหลายอย่างที่บ่งชี้ว่า เหตุที่อยู่เป็นเพราะพวกเขาค่อนข้างพึงพอใจ หรือมองเห็นแนวทางในด้านดี นั่นคือ

     - องค์กรมีโปรแกรมสำหรับพัฒนาพนักงานที่มี Potential จะเป็น Leader ในอนาคต
     - องค์กรเปิดกว้างให้พนักงานรุ่นใหม่ๆ ได้ตั้งเป้าหมายไปเป็นผู้บริหารได้ ไม่หาว่าทะเยอทะยานเกินตัว



แต่กับคนที่มีแนวโน้มจะลาออกโดยไวแบบกูไม่ไหวแล้ว ก็จะบอกว่า

     - รู้สึกว่าทักษะและความสามารถที่มีนั้นถูกมองข้าม ทำให้ไม่ได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ และโชว์ด้าน Leadership ของตัวเองซักที
     - นอกจากจะโดนมองข้ามแล้วก็ยังไม่มีใครอยากมาพัฒนาเราด้วย น้อยใจ กูไปละนะ

Part 2: มองคนละมุมเรื่อง Sustainability 


ไม่ๆ มิลเลนเนียลไม่ได้มีหัวใจออแกนิกเกินร้อย ถึงขั้นว่าจะไม่มุ่งแสวงหากำไร แล้วเดินหน้าสู่ความพอเพียงอะไรแบบนั้น พวกเรายังมองว่าการทำธุรกิจยังไงก็ต้องมีผลกำไร และวัดผลจาก Financial Performance น่ะถูกแล้ว แต่แค่สองอย่างนั้น มันไม่พอหรอกนะ ธุรกิจที่ดี และที่พวกเขาจะภูมิใจที่ได้ร่วมงานด้วย นั้นจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม และถ้าเป็นไปได้ ธุรกิจควรก่อให้เกิด Impact ในด้านที่ดี ต่อสังคมในวงกว้าง


น่าจะเป็นเพราะมิลเลนเนียลโตมากับโลกที่มีอินเตอร์เน็ต โลกที่แคบเข้าหากัน และการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องที่ง่ายและฟรี เลยทำให้กลุ่มมินเลนเนียลใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น เป็นเหมือนงานฝิ่นที่ไม่เกี่ยวกับงานประจำ เป็นพาร์ทปัจเจกที่เราออกไปทำเพื่อเติมเต็มความภูมิใจในตัวเอง เพราะแบบนั้น พออินหนักๆ เข้า เลยมีแนวโน้มที่มิลเลนเนียลจะตั้งคำถามกลับไปที่ธุรกิจ ว่าทำไมไม่ทำ หรือถ้าทำ ทำไมไม่ทำแบบใหม่ๆ แบบที่ไม่ใช่การกุศล หรือ CSR ในคำจำกัดความเดิม แต่เป็นอะไรที่กว้างกว่านั้น ยั่งยืนกว่านั้น


นอกจากมุมของสังคม มิลเลนเนียลยังมองถึงวิธีที่ธุรกิจดูแลคนด้วย 6 จาก 10 ของกลุ่มนี้เชื่อว่า ความสำเร็จของธุรกิจต้องมองจากคุณภาพของสินค้าและบริการของบริษัท, ความพึงพอใจของพนักงาน และลูกค้า นวัตกรรมและความมีประสิทธิภาพของสินค้าและบริการก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้มิลเลนเนียลพอใจในธุรกิจได้


ว่าง่ายๆ คือ ไม่ใช่ว่าจะมาผลิตแบบประหยัดต้นทุน เพื่อสร้างกำไรในบัญชีให้มากที่สุด แต่ละเลยคุณภาพของสินค้า ละเลยความพอใจของคนที่ทำงาน และไม่สร้างอะไรใหม่ๆ ย่ำซ้ำรอยเดิม กำไรที่เหลือมาแบบนั้น มิลเลนเนียลก็ไม่ต้องการ!



(พวกมึงนี่อุดมการณ์สูงจริงๆ /อ้อ กูก็ด้วย)



(Credit: Deloitte)


ความสำเร็จที่ยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นอันดับแรก

คำถามข้อหนึ่งในเซอร์เวย์ถามว่า "What are the most important values a business should follow if it is to have long-term success" มิลเลนเนียลตอบว่า ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับพนักงานในการสร้าง Trust และ Integrity ในตัวพวกเขา คงคล้ายๆ กับการสร้างชาติและ พื้นฐานมันก็ต้องมาจากคน ถ้าคนในองค์กรมีศีลเสมอกัน มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน มันก็ตัดความกังวลใจไปได้หนึ่งเปลาะ ธุรกิจจะได้เอาเวลาไปหาทางวางแผนมุ่งสู่เป้าหมาย 



มีความเห็นของคนนึง ที่ตอบคำถามด้านบนเอาไว้ ที่เราว่าสรุปเรื่องนี้ได้ดี ดังจะยกมาดื้อๆ เลย ไม่แปลด้วย


"Ensuring employees feel comfortable - that is a successful company; where people are free to perform their tasks and duties regardless of time and space"



ไม่อยากจะขัดใจตัวเอง

อย่างที่บอกว่ามิลเลนเนียลนั้นมีอุดมการณ์ค่อนข้างชัดเจน จากการสำรวจจึงพบว่า มิลเลนเนียลจะเลือกทำงานกับองค์กรที่มีค่านิยมสอดคล้องกับค่านิยมและเป้า หมายส่วนตัวของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น 49% ของพนักงานปกติ กับ 61% ของพนักงานระดับอาวุโส ที่เป็นมิลเลนเนียล เลือกที่จะปฏิเสธ หรือเลี่ยงจะไม่ทำบาง assignment ถ้าพวกเขาเห็นว่ามันขัดแย้งกับค่านิยมข้างในของตัวเอง ทำไปมันก็ฝืนใจ ขัดใจ อึดอัดใจ อกจะแตกตาย ไม่ทำโว้ย (อีสัส แล้วใครจะทำ - เจ้านายกล่าว)

มั่นใจเหลือเกินนะพวกแก

มีคำถามหนึ่ง ถามว่า "อะไรคือปัจจัยสำคัญ ที่มีผลเป็นอย่างยิ่ง ต่อการตัดสินใจเรื่องใดๆ ในการทำงาน" สิ่งที่มาเป็นอันดับหนึ่งที่มิลเลนเนียลตอบ คือ "ค่านิยมและความเชื่อส่วนตัว" รองลงมาที่พอๆ กันคือ อิมแพ็คต่อสังคมและลูกค้า และ เป้าหมายทางอาชีพที่วางไว้ ทั้งหมดนี้คือมึงไม่ได้คิดถึงบริษัทเลยเว้ย คิดถึงตัวเอง และสังคมทั้งนั้นเบยยยยย



มิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับ Sense of purpose ในมุมของการพัฒนาคน เหนือกว่าการสร้างผลกำไรสูงสุดให้กับองค์กร ผ่าน 5 ตัวบ่งชี้
     - มอบค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล
     - เป็นที่ทำงานที่น่าทำงานด้วย
     - พัฒนาทักษะของพนักงานอย่างยั่งยืน
     - ส่งมอบสินค้า/บริการที่ดี ที่สามารถยกระดับชีวิตของผู้คนและสังคม
     - มอบหมายงานที่มีคุณค่า และคอยสนับสนุนส่งเสริม

แต่เห็นอุดมการณ์ด้านงานและสังคมแรงแบบนี้ ผลสำรวจกลับเจอมุมที่น่าแปลกใจ คือ เมื่อถามถึงเป้าหมายส่วนตัวของมิลเลนเนียล ก็พบว่า มันมีความเป็นสูตรสำเร็จเหมือนคนรุ่นเก่านั่นแหละ (ในเซอร์เวย์ใช้คำว่า Personal goals are fairly traditional) เป้าหมายที่ว่าก็เช่น อยากมี Work-life balance, อยากมีบ้าน มีคู่ชีวิตและครอบครัวที่ดี, มีความมั่นคงเรื่องเงินทอง โดยวางแผนจะเก็บเงินเพื่อการเกษียณอย่างมีคุณภาพ

โธ่ ชีวิตแพทเทิร์นมาก แล้วมาทำเป็นอินดี้


Part 3: อย่าปล่อยให้ Talent หลุดมือ


อย่างที่บอกว่ามิลเลนเนียลนั้นไม่ค่อยมีความภักดีกับองค์กรเท่าไหร่หรอก ซึ่งองค์กรก็รู้อยู่แล้ว ยังไงมีคนออกก็ต้องมีคนเข้า แต่ปัญหาจะเกิดทันที ถ้าคนที่ออกไปดันเป็นพวก Talent ขององค์กร เรียกแบบมันส์ๆ พวกนี้คือพวกตัวเทพ ตัวท้อป เก่งและดี คนพวกนี้ใครๆ ก็อยากได้ และใครๆ ก็ไม่อยากเสีย

(Credit: Deloitte)

อย่างย่อและง่าย สิ่งที่องค์กรควรทำเพื่อ Retain the talent เอาไว้ คือต้องเริ่มจากการเข้าใจความอินดี้ของมิลเลนเนียลให้ได้ แล้วจึงคอยสนับสนุน และส่งเสริมให้มิลเลนเนียลคว้าดวงดาวที่เป้าหมายทั้งด้านงานและชีวิต (เน้นเลยนะ ว่าต้องมี Life ambition ด้วย ถ้าขาดด้านนี้ไป มิลเลนเนียลก็อกแตกตายเหมือนกัน) องค์กรต้องเปิดโอกาสให้มิลเลนเนียลได้แสดงผลงาน ได้พัฒนาตนเองผ่านงานที่ท้าทายและมีคุณค่า และสิ่งที่มิลเลนเนียลต้องการ แต่อาจไม่กล้าบอกก็คือ พวกเขาอยากมีเมนเทอร์พี่เกดคอยให้คำแนะนำอยู่ใกล้ๆ


67% ของมิลเลนเนียลในกลุ่ม Emerging Market นั้นต้องการเมนเทอร์ซักคนที่จะคอยให้คำปรึกษา เหมือนที่พี่เกดสอนให้จีน่าหมุนเป็นลูกข่างในการเดินแบบ ในแบบที่บีก็ทำไม่ได้ คริสเหรอ อย่าหวังเลย (เลอะเทอะชิบหาย กูเนี่ย 555) ตัวเลขนี้จะน้อยลงมาเหลือ 52% สำหรับกลุ่ม Developed Market ก็แน่ล่ะ เขาสตรองแล้ว ไม่ต้องมาแนะนำแล้วโว้ย ซึ่งไอ้การเมนเทอร์นี่ก็ไม่ใช่ว่าแค่พาไปกินข้าว เล่นบัดดี้ เลี้ยงปีใหม่ อะไรแบบนั้น มิลเลนเนียลต้องการอะไรที่มีสาระ มีคุณค่า อยากดูดประสบการณ์จากเมนเทอร์มาให้ได้เยอะที่สุด อยากได้คำแนะนำเจ๋งๆ และเมนเทอร์ก็ต้องแสดงออกให้มิลเลนเนียลเห็นว่า ต้องการจะถ่ายทอดความรู้ เพื่อพัฒนาให้มิลเลนเนียลเติบโตต่อไปได้


ค่านิยมองค์กรที่เน้นเรื่อง Purpose beyond Profit ก็เป็นอีกสิ่งที่จะช่วยยื้อเหล่าทาเลนท์ให้ยังอยู่กับองค์กรได้ โดยองค์กรต้องหาทางสื่อสารให้ทาเลนท์เห็นว่าเรากำลังจริงจังกับเรื่องเหล่านี้ ผ่านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง เปิดกว้าง เข้าถึง และให้ความสำคัญกับพนักงานอย่างแท้จริง


ถัดมาคือโปรแกรมพัฒนาทาเลนท์ให้ยิ่งเก่งยิ่งเจริญขึ้นไปอีก ก็มีส่วนช่วยในการตัดสินใจอยู่ต่อ และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ก็คือ เงินน่ะแหละ ที่เป็นยาแรง ยื้อชีวิตทาเลนท์เอาไว้ได้ แต่อย่างที่ว่า ทาเลนท์เราอินดี้ เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่ที่สุด สุดท้ายแล้วองค์กรต้องมอบแพ็คเกจที่สมเหตุสมผล พร้อมกับไม่ลืมปัจจัยอินดี้ๆ อื่นๆ ที่ว่าไปข้างต้น ในการเหนี่ยวรั้งและรักษาทาเลนท์ซักคนเอาไว้ อาจจะดูเหนื่อยที่ต้องมางอนง้อเอาใจไอ้พวกอินดี้ แต่บางทีก็อาจจะคุ้มกว่าการรับคนใหม่เข้ามา เสียเวลาปลุกปั้นปรับตัว อันนี้ก็สุดแท้แต่แนวทางขององค์กร



ยิ่งยืดหยุ่นยิ่งอยู่ยาว

ในเอกสารมีการยกข้อเขียนของ Adam Henderson แห่ง Millennial Mindset  บอกว่า "ถ้าไม่สามารถไว้ใจให้พนักงานทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Working) ได้ งั้นจะจ้างเขามาทำไมตั้งแต่แรก เพราะการทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าทาเลนท์ได้กำหนด "ทางเลือก" การทำงานในแบบของพวกเขา ทางที่มันเหมาะกับวิถีชีวิต ซึ่งจะส่งผลให้วิน-วินกันไปทุกฝ่าย" 



Flexible working คือการทำงานแบบที่ไหนก็ได้ จะทำที่บ้าน ที่ร้านกาแฟ ร้านนวด ริมทะเล หรือในส้วมที่ออฟฟิศ ตราบใดที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผลสำรวจพบว่ามี 43% ที่ทุกวันนี้ใช้ชีวิตยืดหยุ่นอยู่ ส่วนอีกกว่า 75% เห็นตรงกันว่า การทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นมีแนวโน้มจะสร้าง Productivity มากกว่า 



เราว่าสิ่งที่อยู่ลึกไปกว่าความยืดหยุ่นในการเลือกที่ทำงานด้วยตัวเอง มันคือความรู้สึกว่าบริษัทให้เกียรติและไว้ใจพนักงานในฐานะมนุษย์ผู้มีความรับผิดโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะเป็นคนเลวก็ได้นะ แต่พอบริษัทไว้ใจ มันจะทำให้คนเลวรู้สึกผิด และโพรดักทีฟขึ้นมาเอง (เอ๊ะ ยังไง) แต่เฮ้ย เอาแบบดีๆ คือ การไว้เนื้อเชื่อใจนั้นสำคัญ มันคือการให้เกียรติกัน พนักงานเองก็จะเกิดภาวะความรับผิดชอบอันเกิดจากตัวเอง ไม่ใช่จากการบังคับ แบบนี้มันยั่งยืนกว่าการใช้กฎมากะเกณฑ์กันนะ



ซึ่งก็สอดคล้องกับผล สำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมอื่นๆ ขององค์กร ที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกในแง่ดีจากเหล่ามินเลนเนียล เช่น บรรยากาศแห่งความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรมองค์กรแบบเปิดกว้าง การสื่อสารและให้ฟีดแบ็ค


มีอีกข้อที่น่าสนใจ คือสัปดาห์แห่งการทำงานในฝันของชาวมิลเลนเนียล ว่าพวกเขาอยากจะใช้เวลาในสัปดาห์นั้นไปกับอะไรบ้าง ผลออกมาคือ พวกเขาอยากใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดคุยเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้าน Leadership ที่เหลือคือเช็คและตอบอีเมล และสุดท้ายคือได้รับเวลาในการสอนงานจากเหล่าเมนเทอร์ ดูช่างเป็นหนึ่งอาทิตย์ของการทำงานที่เลอเลิศ


แต่ความเป็นจริงคือ เวลาเกือบครึ่งของสัปดาห์หมดไปกับอีเมล โถ เจ้ามิลเลนเนียลน้อย

(Credit: Deloitte)


และสุดท้าย ที่จะถือว่าสรุปทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมายาวเหยียดก็คือ มิลเลนเนียลต้องการที่จะรู้สึกว่าพวกเขานั้นเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตการทำงาน ของพวกเขาเองได้ หากองค์กรไหนทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้น ก็มีโอกาสที่จะได้รับความภักดีเป็นสิ่งตอบแทน

_________________________________

สุดท้ายแล้วยังไงมนุษย์เงินเดือน ก็ยังต้องขับเคลื่อนด้วยเงินเดือนเป็นหลักแหละนะ มิลเลนเนียลก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าได้เงินแบบสมเหตุสมผล ดำรงชีวิตได้ มีพอเหลือไปใช้ชีวิต พวกเราก็โอเค แต่สิ่งที่สำคัญและเราก็ต้องการไม่ต่างจากเงิน ก็คือ "ความภูมิใจในตัวเอง" เป็นความรู้สึกดีต่อตนเอง ว่านี่เรากำลังทำงานที่มันมีคุณค่าอยู่ และงานของเรามีความสำคัญต่อองค์กร องค์กรก็มีบทบาทในการยกระดับสังคมให้ดีขึ้น พอบอกใครว่าเราทำงานที่ไหน เราก็ยืดอกได้ อาจจะดูว่าพวกมิลเลนเนียลขี้เอาแต่ใจ คิดถึงตัวเอง หยิ่งผยอง ไปซักหน่อย (ซึ่งก็จริงแหละนะ) แต่มันก็เป็นผลมาจากสังคมที่เปลี่ยนไป วิธีการเลี้ยงดู และโลกในยุคที่เราเติบโตมาหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนั้น

มิลเลนเนียลเองก็ต้องเข้าใจความต่างเช่นกันนะ เราอาจจะกำลังเป็นที่สนใจ เป็นกำลังสำคัญที่จะเคลื่อนโลก แต่ประสบการณ์ และความเก๋าของคนรุ่นที่แล้วยังไงก็ยังสำคัญ และต้องดูดพลังเหล่านั้นมาสะสมไว้ที่เราให้ได้มากที่สุด เปิดกว้างยอมรับในความแตกต่าง ทำความเข้าใจกับมัน และบริหารวิธีการที่เราจะรีแอ็คกับคนเจนต่างๆ ให้เหมาะสม การทำงานก็จะราบรื่นขึ้น และเราเองก็จะยิ่งสตรองขึ้นด้วย

ไปพวกเรา กลับไปตั้งใจทำงานกันต่อ!




ตามรอย ซากุ-อากิ Crying out love in the center of the world

Crying out love in the center of the world
"อยากกู่ร้อง บอกว่ากูมาแล้วโว้ย ให้ก้องโลก" 

ผ่านมาหลายเดือนจนเกือบจะลืมไปแล้ว ช่วงนี้พอได้หายใจ เลยขอบันทึกไว้ถึงการเดินทางไปตามรอยหนังญี่ปุ่นเรื่องโปรด Crying out love, in the center of the world 世界の中心で、愛をさけぶ (2004) ที่เมืองทาคามัตสึ ประเทศญี่ปุ่น (อีห่า จะเขียนให้เป็นทางการทำไม ชื่อทาคามัตสึขนาดนี้ อยู่ยุโรปเหนือมั้งอีบ้า)

(เคยเขียนไว้ถึง Crying Out เมื่อหลายปีก่อน แต่จะเน้นเวอร์ชั่นซีรีส์มากกว่า ลองไปอ่านได้ค่ะ คลิกเฮีย)

ซีนกางแขนในตำนาน

ภาพของมาซามิ นากาซาวะ ในชุดนักเรียน เดินกางแขนอยู่บนหินแปลกๆ กลางทะเล มีแดดเย็นอาบทั้งซีนจนเป็นสีส้มจัด นั่นมันติดตามาก เป็นภาพแรกที่เมื่อได้ยินชื่อหนังแล้วมันจะแว๊บขึ้นมา คิดมานานแล้วว่า ถ้าได้ไปที่นั่นก็คงดี แต่อีห่า แนวแท่นคอนกรีตบนทะเลญี่ปุ่นนี่มันกว้างไปมั้ย มึงจะไปรู้ได้ไงว่าเขาถ่ายที่ไหน ดูแค่ในหนังไปนั่นแหละพอแล้ว

แต่พอจะได้ไปญี่ปุ่นแบบซื้อพาสใหญ่ มันก็อดจะเลี้ยวไปนึกถึงการไปเหยียบแนวหินอันนี้ซักครั้งให้ชื่นใจไม่ได้นะ แหม ก็ไหนๆ ซื้อตั๋วรถไฟแบบจะไปไหนก็ได้แล้ว มึงจะไม่ไปเหยียบตรงนั้นจริงง่ะ ลองหาดูก่อนมั้ย ถ้าไปไม่ยากก็น่าจะไปนะ (บิวท์ตัวเองสุดๆ)

จึงหลวมตัวเชื่อตัวเอง เข้าอินเตอร์เน็ตค้นหาอยู่สามวัน แรกทีเดียวคือเจอแค่ว่าถ่ายที่ Aji เมือง Takamatsu ความหยาบเทียบเท่าการเดินหาบ้านป้าละม้าย ที่ตำบลโนนหินอ่อน อำเภอวารินชำราบ อะไรแบบนั้น ห่า เมืองมันก็ต้องมีตรอกมีซอยมั้ย รู้แค่นี้จะไปหาเจอได้ยังไง เลยค้นต่อไปอีก หาไปเรื่อยๆ สามวันอย่างที่บอก จนไปเจอเว็บนึง มันบอกพิกัดเอาไว้ในแผนที่ เราเลยเอาแผนที่นี้ไปเทียบกับ Google Map เพื่อหาวิธีการเดินทาง พอจะเห็นแนวทางเป็นไปได้ เลยตัดสินใจว่า เออ กูต้องไป!

และสิ่งสำคัญที่สุดของการ กูต้องไป! ก็คือ การบอกเอกชัย...

หมุดแดงคือตรงที่เราจะไป เข้าไปหาใน Google Map

ค่ะ ถ้าไปคนเดียวให้ลงไปเก็บสาหร่ายตรงนั้นยังทำได้สบายใจ แต่เพราะทริปนี้ไปกับเอกชัยไง แล้วคือเอกชัยก็ไม่ได้อินหนังอะไรกับมึงทั้งนั้น แล้วก็ต้องเดินทางไปโคตรไกล เอกชัยผู้รักการเที่ยวธีมปาร์คคงไม่แฮปปี้แน่ๆ พอหาวิธีการเดินทางได้แล้ว เลยบอกเอาไปให้เอกชัยดู แล้วบอกว่า เนี่ย มันเป็นความฝันของชั้นเลย ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแล้วว่าอยากไปที่นี่ (คือเรื่องจริงนะ ไม่ได้แต่งเพื่อบิวท์ดราม่า 555) เดินทางไปยากเลยเธอ รถไฟไปถึง (รถไฟไปถึงแทบทุกที่ในญี่ปุ่น) ได้ไปเที่ยวในที่แปลกใหม่นะ ไปกันๆ

เอกชัยพยักหน้าแบบ เออ กูไปก็ได้ เพราะคงรู้อยู่แล้วว่าห้ามเมียยาก มึงแพลนมาหมดทุกสิ่งแล้วถ้ากูไปเปลี่ยนแผนมึงกูก็หมาสิจ๊ะ (จริงๆ เอกชัยอาจจะไม่ได้คิดอะไรหยาบขนาดนี้)

เมื่อเอกชัยเอาด้วยว่าจะไป แผนที่วางไว้พร้อม ก็ตัดภาพไปวันที่เดินทางเลยค่ะ /ฉับ

วันนั้นน่าจะเป็นวันที่ 4 หรือ 5 ของเราและเอกชัยในญี่ปุ่น แผนของเราคือตั้งฐานทัพไว้ที่โอซากาและเที่ยวแถบนี้ห้าวัน ออกไปทาคามัตสึวันนึง และนั่งรถไฟยาวๆ เข้าโตเกียว และกลับเมืองไทยจากโตเกียวนี่แหละ

วิวจาก Marine Liner (ถ่ายได้แค่นี้แหละ รถมันแรง)

เราออกจากโอซากาเช้ามาก ขึ้น Shinkansen ไปลงสถานี Okayama เพื่อขึ้นรถไฟ JR Marine liner ไปลงสถานี Takamatsu อันเป็นที่หมาย ซึ่งอีรถไฟ Marine Liner นี่มันพีคมาก สรรพคุณของรถไฟสายนี้คือมันวิ่งผ่านเกาะน้อยใหญ่เพื่อเชื่อมภูมิภาค Honshu กับภูมิภาค Shikoku เข้าไว้ด้วยกัน โดยรถไฟจะอยู่ชั้นล่างของสะพาน Great Seto (Seto Ohashi 瀬戸大橋) ที่เป็นหมู่สะพานเชื่อมเกาะ ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร เป็นมหกรรมความยิ่งใหญ่ของงานวิศวกรรมและความทะเยอทะยานด้านการคมนาคมมาก อยากจะกราบญี่ปุ่นก็ตรงนี้ (ปีก่อนไปดูสะพานอาคาชิไคเคียวที่โกเบ ที่สร้างหลังจากมีอุบัติเหตุเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากล่ม คนตายเยอะ เลยสร้างสะพานแม่งเลย ยาวแค่ไหน ยากแค่ไหนก็ต้องสร้าง เพื่อความปลอดภัยของคน กราบงามๆ เลย) 

ตอนรถไฟวิ่งเหนือทะเล วิวนอกหน้าต่างคือระดับเวิลด์คลาส สวยงามเพลิดเพลินตามาก มองไปถ่ายรูปไป อ้าวข้ามอีกสะพานอีกละ ถ่ายรูปอีก โอ๊ย ตรงนั้นมีเกาะ ถ่ายอีก จะหันไปชื่นชมกับเอกชัย ปรากฏว่าคุณพี่ท่านหลับค่ะ หลับสนิท สงสัยตื่นเช้ามาก ลองสะกิดๆ ก็ไม่ตื่นนะ จบ มึงพลาดแล้วไอ้ตี๋ 

JR Takamatsu Station
หลังจากผ่านวิวที่สวยกว่าญาญ่ากับใหม่ ดาวิการวมกัน รถไฟก็เทียบท่าที่สถานี Takamatsu อันเป็นที่หมาย สถานีนี้เป็นฉากหนึ่งในหนังสือ Kafka on the shore ของ Haruki Murakami อยู่ในตอนต้นๆ เลยที่ไอ้เด็กคาฟคามันออกจากบ้านแล้วมาอยู่ที่เมืองทาคามัตสึนี่ พอมาเหยียบฉากที่เจอในหนังสือก็แปลกไปอีกแบบดี ต่างจากการตามรอยหนังนะ คนเขียนมันต้องมีความผูกพันกับฉากที่เขาเขียนแหละ อย่างน้อยก็คงเคยผ่าน และยังจำ ยังระลึกขึ้นได้ขณะเขียน แสดงว่าที่แห่งนั้นมันต้องพิเศษ ไม่งั้นเขาคงไม่จำและนำมันมาเล่า 

สถานีทาคามัตสึใหญ่โต แต่ไม่พลุกพล่าน สภาพค่อนข้างใหม่เลย สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือเอากระเป๋าเดินทางใบเท่าควายสองใบ ไปฝากในล็อกเกอร์ ซึ่งหลังจากการเดินวน 15 รอบ ก็พบว่า ล็อกเกอร์แม่งเต็มหมดสิ้นแผ่นดินญี่ปุ่น นี่ล็อกเกอร์หรือธนาคารมึงจะฝากอะไรกันนักหนา เต็มหมดทุกไซซ์ทุกขนาด ยิ่งขนาดใหญ่มึงยิ่งไม่ต้องคิดเลย เห็นบางคนแม่งคงเทละ หาที่ฝากไม่ได้ ก็โยนกระเป๋าขึ้นไปหลังล็อกเกอร์แม่งดื้อๆ อย่างนั้นแหละ ทีแรกก็อยากทำตามบ้าง แต่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย เลยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการลากกระเป๋าไปลุยบ้านนอกกันทั้งอย่างนี้แหละ (วะ) 

รถไฟ Kotoku Line หวานเย็นสุดๆ

ต่อจากสถานีทาคามัตสึ เราต้องนั่งรถไฟ Kotoku Line เป็นรถไฟท้องถิ่น ขบวนเล็กๆ บ้านๆ ไปลงสถานี Furutakamatsu-Minami ประมาณ 17 นาทีก็ถึง แบกกระเป๋าลงรถไฟมาแบบเหวอๆ เพราะมองไปรอบๆ แม่งเป็นถนนใหญ่ ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีทะเล หรือมีตรงไหนที่ใครมาถ่ายหนังเลย 

ตามที่หาข้อมูลไว้ ตรงที่เราจะไปนั้นรถไฟเข้าไม่ถึง เดินไปก็ไม่น่าจะไหวเพราะว่าไกลมาก ทางเดียวที่จะไปถึงตรงนั้นได้ คือจี้รถคนญี่ปุ่นซักคันแล้วขับไป นอกจากจะฟรีแล้วยังเอารถไปขายได้เงินมาเที่ยวต่ออีกด้วย เฮ! 

ที่ไหนล่ะโว้ยยยยยยย...แท็กซี่สิครับ ทางเดียวเท่านั้นแหละที่จะไปได้ และนี่เป็นการเปิดซิงแท็กซี่ญี่ปุ่นครั้งแรกเลย ที่ผ่านมาเลี่ยงตลอด เพราะมันแพง ไม่มีปัญญาจ่าย เสียดายเงิน อะไรเดินได้ก็เดินหมดเลย ถ้าเดินไม่ได้ก็คลานไปเอา (ตลกมากนักใช่มั้ย) แต่กับรอบนี้เรายอมจ่าย เพราะอยากไปมาก อยากทำฝันให้เป็นจริง มาเลย เท่าไหร่กูก็จ่าย มึงมาเลย มา บอกให้มาาาาา

ไม่มา ไม่มีแท็กซี่ผ่านมาเลยซักคัน (ฟิ้ววว.... /ใบไม้พัดปลิว) 

ค่ะ คือรถวิ่งกันให้พรึ่บ แต่ไม่มีแท็กซี่ซักคันเลยค่ะ มึงไปส่งรถหรือไปเติมแก๊สกันหมดเหรอถึงไม่ผ่านมารับกูเลยหาาา รอนานจนเริ่มกังวล หรือว่าเมืองนี้มันไม่มีแท็กซี่วะ แบบเป็นเมืองเล็กๆ ใครเค้าจะใช้แท็กซี่กัน เฮ้ย แต่ไม่น่าาาา ในหนังญี่ปุ่น เมืองเล็กกว่านี้ยังมีแท็กซี่ตั้งคันนึง โธ่ อีแมงกะแท้ นั่นมันในหนังโว้ย ความจริงมึงอยู่ในโลกทุนนิยม โนดีมานด์ โนซัพพลายด์โว้ย 

ร้านขนนมที่เข้าไปขอความช่วยเหลือ

เครียดมาก เลยตัดสินใจเดิน เดินไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็ไม่มีใครเดินสวนมาให้กูขอเลยซักคนเดียว เดินไปไกลจนเจอร้านขนมหน้าตาดีอยู่ร้านนึง เลยแวะเข้าไปจิบน้ำชายามบ่ายซักหน่อย โว้ยยย! จะสบายใจไปไหน ไปขอความช่วยเหลือจากเค้านี่แหละ เดินดุ่มเข้าไปบอกพนักงาน ทำหน้าตาเหรอหราให้ดูเป็นไกจินหลงทาง บอกน้องเขาว่า อยากได้แท็กซี่ จะไป Aji Post Office แล้วก็เปิดแผนที่ให้เขาดู น้องบอกว่า มึงนั่งรอเลยอีอ้วน เดี๋ยวกูเรียกให้สัส (จริงๆ น้องเค้าสุภาพมาก ขอโทษที่ทำลายคาแรกเตอร์น้องย่อยยับป่นปี้) 

นั่งรอโดยไม่ซื้อของเค้าซักชิ้นด้วยนะ (หน้าด้านสัสๆ)​ ซักนึงแท็กซี่ก็มาจอด เป็นลุงแก่ๆ เหมือนในหนัง และแน่นอนว่าแกเว่าอังกฤษไม่ได้ โอเค ได้เวลามินนะ โนะ นิฮงโกะ ของมึงแล้ว เลยรัวคำนามและกริยาใส่ลุงแหลกๆ เอาแค่ลุงไปส่งให้ถึงตรง Post Office ให้ได้ก็พอ

ลุงแท็กซี่

อยู่บนรถประมาณสิบนาที มองนอกกระจกเริ่มเห็นวิวคุ้นๆ แล้ว นี่สำคัญคือ ตรงโค้งนึง ที่เข้าใจว่าเป็นโค้งเข้าเมือง Aji มีป้ายบอกทางสำหรับคนที่จะมาตามรอยหนังเลยว่าฉากไหนอยู่ตรงจุดไหน อำนวยความสะดวกกันตั้งแต่ทางเข้า ซึ่งแน่นอนว่ากูอ่านไม่ทันค่ะ และสายตานอกจากยุ่งกับการชมวิวแล้ว ยังต้องคอยเหลือบไปมองมิเตอร์ที่ขึ้นเร็วขึ้นไว ค่าเสียหายเกือบพันแล้วเนี่ยมึง (พันเยน? พันบาทสิค้าาาา) 

และในที่สุดลุงก็พามาส่งถึงที่หมาย แต่ก่อนจะลง เราผู้รอบคอบก็ได้ทำการนัดหมายลุงให้มารับจากที่นี่กลับไปสถานี เพราะดูทรงแล้ว หมู่บ้านตรงนี้ไม่ต้องพูดถึงแท็กซี่หรอก สิ่งมีชีวิตประเภทอื่นก็ยังไม่เห็นเลยซักชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าได้กลับบ้านเลยต้องใช้วิธีนี้ ตอนแรกลองสร้างประโยคขึ้นมาเองจากพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นที่เรียนมาทั้งหมด ปรากฏว่าลุงไม่เก็ทค่ะ เลยรีบแชทไปหาเพื่อน ให้มันพิมพ์ไดอาล็อกมาให้ คราวนี้ลุงเก็ท เราบอก "ลุงๆ โคโคะๆ ตรงนี้นะ สี่โมงนะ ย่งๆๆ" ลุงพยักหน้าหงึกๆ เจอกันไอ้หนู แล้วก็ขับออกไป 


เอาโว้ย ตอนนั้นอยากกรีดร้องดังๆ แบบ กูมาแล้วโว้ยยยยยย ไกลนักใช่มั้ยมึง กูนี่แหละ มาถึงแล้วโว้ยยยย แต่เกรงใจผัว และเกรงใจเจ้าที่แบบชินโต เลยสงบปาก แล้วออกเดิน (ลากกระเป๋าไปด้วย) และใจก็ต้องเต้นแรงค่ะ เพราะภาพข้างหน้า คือป้ายที่มีโปสเตอร์หนังโชว์อยู่เด่นๆ บอกทางเข้าไป Cafe ซึ่งอีคาเฟ่นี่แหละ เป็นที่หมายหนึ่งที่เราจะมาเหยียบให้ได้ 

ภาพข้างหน้าแม่งมหัศจรรย์มาก ถ้าไม่คิดอะไรมันก็เป็นตึกเก่า รูปทรงออกไปทางตะวันตกหน่อยๆ ไม่ได้สำคัญอะไร แต่ถ้าเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ ไอ้ตึกนี้มันสำคัญ มันจำได้ มันคือฉากร้านถ่ายรูป ที่ซากุทาโร และอากิ มาถ่ายรูปแต่งงานกันที่นี่ แล้วยังไง ตอนนี้กูอยู่บนแผ่นดินตรงนี้แล้ว เกรียงไกรมาก ชีวิตเราวันนี้ 



ในชีวิตประจำวัน ร้านนี้เป็นร้านคาเฟ่เล็กๆ ขนาดสองสั้น ขายกาแฟและอาหารเบาๆ ลองเดินขึ้นไปชั้นสอง มีคนนั่งทำงาน นั่งกินกาแฟอยู่เยอะเหมือนกันนะ เลยลงมาจองโต๊ะด้านล่าง แล้วสั่งข้าวผัดกับกาแฟมาแบ่งกันกิน (ที่ไม่สั่งคนละชุดเพราะว่ามันแพง) 

ระหว่างทาน เจ้าของร้านก็มาถามๆ ว่ามาเที่ยวเหรอ เราเลยบอกว่า มาเพราะหนัง เขาก็ยิ้มๆ เพราะคงชินแล้วที่ใครๆ ก็มาตรงนี้เพราะหนัง ในร้านมีแผนที่ตามรอยหนังวางให้หยิบฟรีด้วย พอเราทานเสร็จ เลยขอเจ้าของร้านฝากลูกควายสองตัว (กระเป๋าเดินทาง) ไว้ที่ร้าน ซึ่งทางร้านก็ไม่ว่าอะไร แล้วเดินตัวปลิวออกไปล่าฝันกันต่อได้แล้วโว้ย 


เมือง Aji เป็นเมืองริมฝั่งเล็กๆ เงียบๆ เข้าใจว่าคนแถวนี้คงทำประมงกันเป็นหลัก เพราะเห็นมีเรือจอดอยู่เพียบ และมีคนนั่งง่วนกับแห และนั่งตกปลา สิ่งก่อสร้างระหว่างทางเดินก็เก่าแก่ ไม่ได้ถูกใส่ใจให้มันต้องดูสวยงามตามระเบียบมากนัก เป็นบ้านไม้เก่าๆ โชว์ลายไม้ไม่ทาสี ไม่ก็โกดังสังกะสีขึ้นสนิม สีสันในเมืองมันเลยดิบๆ เหล็กๆ หม่นๆ 

เดินเรื่อยๆ จนลึกเข้าไป ก็จะเจอแลนด์มาร์คอีกจุดนึง เป็นเสาโทริอิ ทางขึ้นวัดที่อยู่บนเขา บันไดตรงนี้อากิเคยมานั่ง และถนนโค้งนี้ซากุเคยขี่มอเตอรไซค์ผ่าน ถ่ายรูปไปสองสามแชะ แล้วก็เดินขึ้นเขาไป เพราะไฮไลท์มันอยู่ข้างบน 

 




ชิงช้าาาาาาาา...ตรงนี้ที่อากิและซากุเคยมานั่งคุยกัน ชิงช้าบนเขา ที่มองลงไปข้างล่างเป็นทะเลเงียบสงบ และภูเขาโอบล้อม ฉากในตำนานอีกฉากที่เราได้มาเหยียบ น้ำตาจะไหลแต่อั้นไว้ก่อน ขนาดเอกชัยที่มาแบบไม่รู้เรื่องยังอินไปด้วย ชวนเราถ่ายรูปใหญ่เลย 

เอาล่ะ ที่ผ่านมามันคือน้ำจิ้ม เพราะจากนี้คืองานฟินนาเล ไคลแม็กซ์ของจริงมันอยู่ตรงนี้ แนวแท่นคอนกรีตที่ว่ามันอยู่ข้างหน้ามึงแล้วอีนิดนก นาทีที่เห็นภาพนั้น ดูเหมือนเว่อร์ แต่ใจเต้นแรงจริงๆ เป็นโมเมนท์ที่แบบ เฮ้ย อีเหี้ยยยย กูมาแล้วจริงๆ ที่เห็นในหนังที่ดูไปไม่รู้กี่รอบ ภาพที่ชอบและจำได้มาตลอดเวลา อยู่ข้างหน้าตรงนี้แล้ว เป็นความเหมือนจริงที่เหมือนจริงสุดๆ จริงกว่านี้ไม่ได้แล้ว ปิติมานะมานีเกินจะเอ่ยเป็นถ้อยคำ ขอบคุณตัวเองและเอกชัยมากๆ ที่ยอมมาถึงตรงนี้ โอย ฝันเป็นจริงมันหน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง 

ไอ้แนวคอนกรีตและทุ่นหินขนาดใหญ่มันเป็นแนวกันคลื่นกลางทะเล ทีแรกคิดว่าจะเงียบๆ แต่ช่วงที่เราไป มีนักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกัน ทั้งหมดเป็นคนญี่ปุ่น คงมีแค่เราสองคนที่เป็นชาวต่างชาติ นอกจากคนมาถ่ายรูปก็มีลุงๆ มาตกปลา ตอนที่ไปขอให้ลุงคนนึงถ่ายรูปให้ แกถามเราว่ามาจากไหน พอเราบอกว่าบางกอก ไทยแลนด์ ลุงก็ยิ้มใหญ่ บอกว่าชอบเมืองไทย ชอบไปพัทยา โห รู้เลยลุงชอบอะไร 555



ดื่มด่ำกับแนวกันคลื่นและประภาคารสีแดงได้ไม่นานก็ต้องกลับ เพราะว่านัดกับลุงแท็กซี่ไว้ และถ้าไปช้าก็จะไม่ทันรถไฟรอบห้าโมงเพื่อเข้าเมือง (และต้องรอรอบต่อไปตอนทุ่มนึง!) เลยร่ำลาอ้อยอิ่งกับแนวหินนั้น ก่อนจะเดินออกมา เก็บความชื่นใจเอาไว้จนชุ่มปอด ได้มาเห็นแค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว 

เดินกลับไปเอากระเป๋าที่คาเฟ่ โค้งขอบคุณเจ้าของร้านไปสิบที แล้วก็ไปรอลุงแท็กซี่ที่ไปรษณีย์ที่เดิมกับที่ลุงมาส่ง ใครก็บอกว่าคนญี่ปุ่นตรงเวลา เราจะทำให้ลุงด่าเราไม่ได้ว่าไอ้พวกคนไทยมาเลท มารอลุงล่วงหน้าห้านาทีเลยเอ้า รอจนสี่โมง รถลุงต้องวาร์ปมาด้วยความตรงเวลาแน่นอน ... ไม่มี อ่ะ ลุงอาจจะแวะเซเว่นกินขนมจีบกุ้ง ให้อีกห้านาที ... ไม่มี ลุงไปเติมแก๊สป่ะวะ ... ไม่มี เฮ้ย รอนานแล้วลุงไม่มาเลยอ่ะ ลุงแม่งชิ่ง หรือลืม หรือสุดท้ายลุงไม่เข้าใจที่เรานัดกันวะ คิดไปเรื่อยเลย แต่ไม่ใช่เวลาจะคิดแล้วไง เพราะมึงจะไปไม่ทันรถไฟโว้ย เลยกลับไปที่คาเฟ่อีกครั้ง ขอให้เขาช่วยเรียกรถให้ ซึ่งทางร้านก็ช่วยเหลืออย่างดี จนสุดท้ายแท็กซี่ก็มาจอดรับถึงหน้าร้าน โค้งขอบคุณเจ้าของร้านไปอีกยี่สิบที และนั่งแท็กซี่กลับมาที่สถานี Furutakamatsu-minami ที่เดิม (แน่นอนว่ามิเตอร์ขึ้นไปอีกเจ็ดร้อย ... เจ็ดร้อยบาท? ... เออ!)

รอรถไฟไม่นานรถไฟก็มา คราวนี้เราจะไปลงสถานี Ritsurinkoen-Kitaguchi ก่อนถึงสถานี Takamatsu สองป้าย เพราะจองที่นอนสำหรับคืนนี้เอาไว้ผ่าน Airbnb เราจะเดินจากสถานีไปที่บ้านของโชอิจิ และวันพรุ่งนี้จะไปเที่ยวเกาะ Naoshima กัน

แต่ตลอดทางเดิน ยังไงก็ยังนึกถึงลุงแท็กซี่อยู่ดี นี่รู้สึกผิดนะที่ชิ่งแกมา ไม่รู้ว่าแกไปรอเรามั้ย ไปแล้วเก้อ หรือแกลืม หรือลุงคิดว่ากูนี่เป็นมิจฉาชีพแน่ๆ หรือลุงจำวันผิด ยิ่งคิดยิ่งสงสารลุง ถ้าลุงผ่านมาเห็น ก็ขอให้รู้ไว้ว่าวันนั้นหนูนั่งรอลุงจริงๆ นะ รอนานด้วย ยังไงลุงก็ขับแท็กซี่ต่อไปนะ ไว้ผ่านไปแถวนั้นอีกจะไปใช้บริการ บัยยย






Our little Sister: โชคดีที่ไม่เดียวดาย

海街diary (Umimachi Diary , Our Little Sister) 
(2015, Hirokazu Koreeda, A) 



เรารอคอยจะดู Umimachi Diary (ชื่อฝรั่งว่า Our Little Sister) มาเป็นปี ตั้งแต่วันแรกที่ปล่อยภาพนิ่งออกมาก็ใจเต้นแล้ว หนึ่งคือเพราะในนั้นมี Ayase Haruka อยู่ (ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณแล้วว่ารักผู้หญิงคนนี้มากขนาดไหน) สองคือมีมาซามิ นากาซาวะ อยู่ในเฟรมเดียวกับอายาเสะ สามคือเป็นหนังของโคเระเอดะ ที่ก็ยังคงเล่าเรื่องครอบครัว และเด็กกับบาดแผลในชีวิตที่พวกเขาต้องเติบโตไปกับมัน พ่อที่ไม่ได้เรื่อง แม่ที่ใช้ไม่ได้ คนรอบข้างที่พึ่งพาไม่ได้ เด็กในหนังของโคเรเอดะมักจะต้องพบกับผู้ใหญ่แบบนั้น แล้วเขาก็ปล่อยให้เราเฝ้าดูว่า เด็กๆ จะจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังไง 

ลูกสาวสามคนของครอบครัวโคดะก็โตมาแบบดูแลกันเองอย่างนั้น จนวันนึงที่พ่อเสีย ก็ได้รับน้องสาวต่างแม่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่อีกคน น้องสาวที่มาพร้อมบาดแผลใหม่ เรื่องเล่าใหม่ เป็นโจทย์ให้ครอบครัวต้องปรับสมดุลกัน ทำความเข้าใจกันอีกครั้ง เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป 

จะว่าไป พี่น้องโคดะก็คือพี่น้องฟุคุชิมะ ใน Nobody knows (2004) ที่โชคดีกว่า ซาจิคืออากิระ ที่ต้องแบกรับภาระใหญ่ในวัยที่ไม่ควร แต่พวกเธอโชคดีอยู่มาก ที่ยังพอมีหลักให้ยึด จนไม่ต้องมีตอนจบที่น่าเศร้าแบบที่อีกครอบครัวนึงได้เจอ

ได้อ่านมังงะจนหมด ตอนอ่านก็เสียน้ำตาไปเยอะ และก็คิดอยู่ว่าพอเป็นหนังมันจะออกมาเป็นยังไง ในเมื่อประเด็นมันยุบยับ และมีเหตุการณ์หลายอย่างที่น่าเล่า ซึ่งหนังตัดสิ่งเบี้ยบ้ายรายทางออกไปหลายอย่าง และยึดมั่นกับความเป็นพี่น้อง ความเป็นครอบครัวของสี่ตัวละครหลัก โดยมีส่วนเสริมคือความละเมียดละไมของอาหาร และบรรยากาศเมืองทะเลอย่างคามาคุระ

ตอนไปญี่ปุ่นรอบล่าสุดเราไปคามาคุระก็เพื่อเซอร์เวย์ก่อนดูหนังเรื่องนี้แหละ แวะไปเยี่ยมสถานี Gukurakuji เพราะบ้านโคดะอยู่ตรงสถานีนี้ ไปเดินริมทะเล และไปเอโนะชิมะ ทะเลที่คามาคุระคลื่นลมแรงแต่ก็สงบจนเราไปนอนหลับตรงนั้นได้ เมืองตรงริมชายฝั่งเจริญและพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว และเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษา แต่พอลึกเข้าไปหน่อยก็เงียบสงบ เหมือนอย่างบ้านโคดะที่เห็นในหนัง เราเลยไม่เชิงว่าชอบเมืองที่เท่าไหร่ เพราะติดที่คนเยอะ แต่ไอ้ความกึ่งเก่ากึ่งใหม่ กึ่งเจริญกึ่งสงบ และชายทะเลที่มีคนไปใช้มันหย่อนใจในตอนเย็นนั้นทำให้เราลืมเมืองนี้ไม่ได้ 

อย่างไม่ลำเอียงเลยนะ อายาเสะเป็นโคดะ ซาจิ ที่มีชีวิตชีวากว่าที่คิดว่าตัวละครนี้จะเป็นได้ (เขียนแบบมึงอวยเว่อร์ ฮ่าๆ) ซัจจังในหนังทำให้เราเห็นเด็กผู้หญิงอายุ 15 ที่โตมาโดยรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ดูแลน้องๆ ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นภาระของเธอด้วยซ้ำ อายาเสะเล่นให้เราเห็นมุมนั้นได้

คือซาจิจะไม่ทำให้ดีก็ได้นะ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ เป็นแค่พี่สาวทำให้มึงแค่นี้ก็บุญแล้ว แต่สิ่งที่ซาจิแบกไว้และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องรับผิดชอบมันใหญ่กว่านั้น หนักกว่านั้น ซึ่งมันก็ออกมาโดยสิ่งที่เธอทำนั่นแหละ อาหารก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าเธอจริงจังกับมันแค่ไหน และที่ผ่านมาเธอเจ็บปวดยังไง ซึ่งมันก็จะโยงไปจบที่ซึสึอีกที (เห็นมั้ย บอกแล้วว่าอายาเสะทำได้ดี /มึงอวยอีกแล้วววว)

ได้ฟังอายาเสะสัมภาษณ์ตอนไปเมืองคานส์ เธอบอกว่า ทีแรกเธอเล่นจนโคเรเอดะต้องมาเตือนว่า มึงเป็นซาจิที่ดุเกินไปแล้ว เธอเลยลดดีกรีความเข้มงวดตรงนั้นลงมา จนเป็นซาจิที่จู้จี้เป็นมนุษย์ป้า ดุ เหวี่ยง แต่ก็อ่อนโยนเสมอ

ความรู้สึกสุดท้ายเมื่อหนังจบคือ เราอยากให้ซาจิกอดเราซักครั้ง นั่นคงเป็นอ้อมกอดของพี่สาวที่อบอุ่นมากๆ 

แต่ที่โคตรดีคือน้องซึสึ น้องไปมีบาดแผลชีวิตมาจากไหนถึงเล่นได้แบบนี้ ซึสึที่ไม่ร้องไห้แต่ดูยังไงก็เศร้าชิบหายตลอดทั้งเรื่องนั่นเป็นการแสดงที่น่าจดจำมากสำหรับหนังเรื่องแรกของน้อง 

คาโฮะไม่มีที่ให้ปล่อยของมาก แต่พอถึงคราวของเธอก็ทำได้ดี (บนรถไฟก็หนึ่ง แกงกะหรี่ก็อีกหนึ่ง) จากเดิมที่ไม่คิดว่าชิกะมีอะไร กลายเป็นสงสารตัวละครนี้ไปเลย เพราะเอาจริงๆ ชิกะไม่มีใครเลย เธอเด็กเกินกว่าจะมีความทรงจำใดๆ ต่อพ่อและแม่เหลืออยู่ เศร้าไม่แพ้พี่น้องหรอก ส่วนมาซามิก็เป็นมาซามิที่สดใส ขโมยไปหลายซีน คือด้วยบทโยชิโนะ ตั้งแต่ในมังงะ มันเป็นตัวละครที่เราจะสนุกไปกับเธออยู่แล้ว มันเลยไม่ต้องคาดหวังอะไร

มีงานภาพในหลายฉากที่น่าจดจำ ฉากอุโมงค์ซากุระก็หนึ่ง มันมาถูกจังหวะและดี ฉากทิ้งเฟรมตอนหลังงานครบรอบวันตายของคุณยายนั่นก็ดี แต่มันก็มีเฟรมน้ำเน่าอยู่เยอะนะ แบบโผล่ออกมาจากหน้าต่างเล่าเรื่องอย่างมีความหวัง ซึ่งก็ยังดีว่ามันมาไม่บ่อย ไม่งั้นเราจะเริ่มเลี่ยนละ

ช่วงแรกหนังมันเล่าไปเรื่อยๆ สะเปะสะปะพอประมาณ ดูเพลินก็จริงอยู่ แต่เราจะคิดนิดนึงว่า มึงเล่าแบบนี้แล้วจะพาเราไปที่ไหนวะ จะขึ้นสู่จุดพีคยังไง ซึ่งหนังโคเรเอดะแม่งเป็นอย่างนี้หมด คือมันมีจุดหนักของมันอยู่ แต่มันไม่โฉ่งฉ่าง มันล่อหลอกพาอารมณ์เราขึ้นมาเรื่อยๆ จนพอถึงจุดที่เขาเล็งไว้ ก็ตบหัวเราเบาๆ แต่ทำเราล้มได้ 

Umimachi Diary ก็เป็นแบบนั้นแหละ เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราอินแล้ว รู้อีกทีคือช่วงท้ายเราหน่วงมากๆ ข้างในใจมันแน่นไปหมด บางคนร้องไห้ไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็มี แต่กับเรา พอ End credit ขึ้นเราก็ทำได้แค่มองจอ ฟังเพลง แล้วน้ำตามันก็ไหลของมันเอง คิดไปหลายอย่างอยู่ในหัว และที่แน่ๆ คือคิดถึงเรื่องของตัวเองด้วย และตรงนั้นน่าจะเป็นส่วนใหญ่ที่ทำให้รู้สึกกับหนังมากเป็นพิเศษ

คิดถึงตอนที่แม่เสีย เคยคิดหลายทีว่า ถ้าตอนนั้นแม่ไม่ได้จากไป ตัวเราตอนนี้คงไม่ได้เป็นแบบนี้ อาจจะดีกว่านี้ หรือแย่กว่านี้ บุคลิกแบบนี้ หรือไม่ใช่แบบนี้ แต่ที่รู้คือต้องไม่ใช่ตัวเราในวันนี้แน่ๆ ไม่รู้ว่ามันดีรึเปล่าที่ต้องโตขึ้นมาด้วยเงื่อนไขแบบนั้น แต่เราก็ผ่านพ้นมันมาได้ คนที่จากไปบางทีเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้จัดการอะไรเอาไว้ให้เราก่อน และเขายังนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าการจากไปนั้น ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย มันทิ้งร่องรอยไม่เล็กก็ใหญ่เอาไว้กับคนรอบข้างเสมอ แต่เอาเข้าจริงมันก็ชีวิตแหละ จะด้วยเงื่อนไขอะไร ยังไงทุกวันมันก็มีเรื่องเข้ามาให้เราต้องเจอ ต้องแก้ปัญหาอยู่แล้ว จะไปโทษใครที่มาทิ้งบาดแผลให้เราไม่ได้หรอก เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า เราเองก็เคยไปทิ้งปัญหาเอาไว้ให้คนอื่นเหมือนกัน

แต่อย่างน้อย ถ้าจะต้องเจออะไรหนักหนา แต่กลับบ้านมายังมีคนทำกับข้าวให้ นั่งคุย ทะเลาะ และชวนกันกินเหล้าบ๊วยที่ช่วยกันหมักในหน้าร้อน นั่นก็น่าจะดีกว่าเรานั่งแก้ปัญหาอยู่คนเดียว




ปล. พอดูจบแล้วกลับบ้านไปดู Photobook ที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นยิ่งดีหนัก ดูก่อนหนังฉายไม่ได้อารมณ์เลย อะไรเล็กน้อยในหนัง แต่พอมาเห็นในหนังสือแล้วรู้เลยว่ามันเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ใหญ่มากๆ ดีมากๆ โอ๊ยยยยย (เสียสติไปแล้ว) 



เขียนถึงคลองภาษีเจริญ

ล่องคลองกลับบ้าน
2 มิถุนายน 2558



วันนี้เอกชัยมีนัดกับเพื่อน เราที่อยากถึงบ้านเร็วหน่อยเลยขอกลับเองดีกว่า ก็ทำตามวิธีปกติที่ใช้กลับบ้าน คือนั่งรถไฟฟ้ามาจนสุดสายที่บางหว้า วันไหนเหนื่อยหน่อยก็จะขึ้นแท็กซี่ วันไหนอารมณ์ดีๆ ก็จะขึ้นไปทำให้อารมณ์มันเสียเล่นด้วยการขึ้นรถเมล์

แต่วันนี้ไปถึงบางหว้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด เหลือบไปเห็นป้ายเรือฟรีส่งถึงท่าเรือแถวบ้าน จึงเกิดความครึ้มใจ เล็งไว้ตั้งนานแล้ว วันนี้ลองนั่งดูซักหน่อยน่าจะดี

ทางเดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปท่าเรือไม่ใกล้มาก แต่ก็พอเดินได้ ถ้าเดินตอนค่ำๆ คงเสียวตูดพอสมควร แต่วันนี้เรามีเพื่อนเดินด้วยเยอะ แป๊บๆ ก็เจอท่าเรือ ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าตรงนี้มีคลอง เป็นความรู้สึกแบบ ร้องชิบหายอยู่ในใจหลายที

ท่าเรือเล็กๆ แบบมินิมอล มีนายท่าอยู่หนึ่งคน แต่งกายตามสบายเหมือนทาง กทม. จ้างคนแถวนั้นมายืนๆ ไม่ได้มีเครื่องแบบอะไรทางการทั้งนั้น ยังดีหน่อยที่ใส่เสื้อชูชีพ ซึ่งก็เป็นการใส่ไปงั้น เหมือนวินมอไซใส่หมวกกันน็อคแบบไม่รัดสายรอบคอ ยังไงอย่างนั้นแหละ

คนรอคิวขึ้นเรือโดยต่อแถวเป็นระเบียบดี พอเรือเทียบท่า ก็ลงเรือกันอย่างว่าง่าย พี่นิดพุ่งไปนั่งหน้าสุดเพื่อรับลม (สภาพตอนนั้นคือร้อนเหมือนหอยแมลงภู่ในกระทะหอยทอด) ลุงคนขับก็ไม่ได้มีเครื่องแบบเรียบร้อยอะไร คงเป็นชาวบ้าน เป็นเซียนเรือแถวคลองภาษีเจริญมารับจ็อบเสริม พาหมาพุดเดิลสีดำมาเลี้ยงบนเรือด้วยสองตัว ตัวนึงนอนหลับรับลม อีกตัวแม่งวิ่งไปวิ่งมา เป็นกันเองเหมือนอยู่บ้านดีมาก

แต่ละท่าจะมีเจ้าหน้าที่คอยโบก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะโบกทำห่าอะไรเพราะยังไงเรือแม่งก็ต้องจอดอยู่แล้ว แต่พอมองอีกที อ๋อ เค้าจดด้วยนะว่าท่านี้คนขึ้น คนลงกี่คน คงต้องทำรายงานส่ง เพื่อดูว่าโครงการนี้คุ้มทุนมั้ยอะไรแบบนั้นมั้ง แต่บางท่า พี่คนโบกแกก็ทำสัญญาณไขว้มือกากบาท ทำนองว่าไม่ต้องจอด ไม่มีคนขึ้น (แต่เรือต้องจอดนะเพราะมีคนลง)

อ้าว งี้แสดงว่าถ้าไม่มีคนพี่ก็ไม่จอดเหรอ แบบนี้ไม่ดีแล้ว เราว่าระบบขนส่งสาธารณะของไทยมันมีจุดอ่อนตรงนี้แหละ คือ เราคาดเดาไม่ได้เลยว่าป้ายไหนแม่งจะจอดหรือไม่จอด รถไฟฟ้าที่มันเวิร์ก อย่างหนึ่งคือเพราะมันแน่นอน มึงจอดทุกป้ายแน่ๆ ยังไงก็ไม่หลง แต่พอเป็นรถเมล์ ที่ป้ายก็ไม่ได้มีชื่อป้ายกำกับ (เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์) เราก็ต้องอาศัยความคุ้นเคย หรือไม่ก็พึ่งพาพี่กระเป๋ารถเมล์ ที่ถ้าโชคดี พี่เขาไม่ลืม เขาก็จะมาเตือนเมื่อใกล้ถึงป้าย แต่ถ้าพี่เขาลืม มึงก็นั่งไปสิ จนสุดอู่ยังไม่รู้ตัวเลยว่าหลง อีเยสม้าาาาา

แต่เท่าที่นั่งวันนี้ลุงแกก็จอดทุกท่านะ คงต้องสอบถามคนที่ใช้บริการทุกวันว่ามีการข้ามท่ามั้ย แต่ถ้าจะให้ดีอีกนิด คือช่วยทำป้ายชื่อแต่ละท่าให้มันใหญ่หน่อยเถิด ดูท่าโซนคลองแสนแสบเป็นตัวอย่างก็ได้ ใหญ่โต เห็นชัดว่าอยู่ไหนแล้ว มองเห็นจุดหมายว่าท่าต่อไปคืออะไร นี่ถ้าเราต้องลงระหว่างทาง ไม่ได้นั่งไปจนสุดสาย หลงแน่นอน ไม่ต้องสืบ

วิวริมคลองภาษีเจริญกินขาดคลองแสนแสบ แถวนั้นมันเป็นเมืองไปหมดแล้ว มองไปก็เห็นแต่ตึกแต่คอนโด แต่วิวฝั่งธนตรงนี้มีความเป็นชนบทที่ซ่อนในเมืองมากกว่า ยังเห็นชุมชนริมน้ำ แนวเดียวกับเกาะเกร็ด หรืออัมพวาอะไรแบบนั้น แต่แน่นอนว่าน้ำสีคล้ำและเหม็นกว่าสองอันนั้นเยอะ

แต่ข้อเสียของการขับผ่านชุมชนแบบนี้คือมันขับเร็วมากไม่ได้ เพราะสองข้างทางก็ไม่ได้ทำเขื่อนเหมือนตรงคลองแสนแสบ (ตรงนั้นแม่งซิ่งไม่เกรงใจปลาสวายเลย) การกลับบ้านวันนี้จึงสโลว์ไลฟ์มาก ชีวิตไหลเอื่อย สูดดมกลิ่นน้ำเสีย และมองกางเกงในยายที่ตากไว้ริมคลองจนอิ่มใจกันไปข้างนึง

สี่สิบนาทีเรือก็มาสุดสาย กรี๊ด ซอยบ้านกูเลยค่า จะเดินก็ได้ นั่งมอเตอร์ไซค์ก็สิบบาท โอยชีวิตดี ค้นพบเส้นทางใหม่ที่พอจะเป็นทางเลือกในวันที่กลับบ้านเองได้ แต่เสียดายว่าทุ่มครึ่งเรือก็หมดซะแล้ว

เราชอบการนั่งเรือนะ ตั้งแต่ป.1 จนจบมัธยมก็นั่งเรือมาโรงเรียนทุกวัน ไม่เคยต้องเจอปัญหารถติดมาโรงเรียนสายเหมือนเพื่อนคนอื่น (คือมาโรงเรียนสาย เพราะตื่นสายเอง แก้ตัวไม่ได้เลย) สมัยนั้นนึกภาพรถติดตรงสะพานกรุงธน ตรงหน้าตั้งฮั่วเส็ง ไรงี้ไม่ออกเลยนะ เห็นใครบ่นว่ารถติดไปทำงานนี่อยากจะยิ้มเยาะ พี่มาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ริมน้ำเมืองนนท์แบบหนูสิคะ แล้วพี่จะไม่บ่นเรื่องรถติดอีกเลย

เพิ่งจะมาสองสามปีนี้แหละ ที่ได้รู้ซึ้งถึงสภาพรถติดในเมืองหลวงอย่างสาแก่ใจ บางวันใช้เวลาจากบ้านไปออฟฟิศเกือบสามชั่วโมง แม่งโคตรเป็นเมืองที่ห่วยแตก เอาแน่เอานอนไม่ได้ คิดถึงเรือที่ไม่เคยทำให้เราไปโรงเรียนสาย แม่น้ำที่ไม่จอแจแออัด แถมมีลมพัดวู่ๆ ให้หัวยุ่งเย็นสบายไปโรงเรียนอีก (แต่วันฝนตกกูก็สาหัสนะ)

กรุงเทพน่าจะใช้ประโยชน์จากคลองที่มีอยู่มากมายให้ดีกว่านี้ได้ ผ่อนหนักเป็นเบาจากท้องถนนที่มีแต่ควันและความร้อนได้สักหน่อย อย่างน้อยการนั่งเรือลมเย็นๆ ก็ทำให้เราอารมณ์เย็นขึ้นนิดนึง เจอความเงียบพักนึง แต่ก่อนตอนนั่งเรือไปโรงเรียนนี่อ่านหนังสือจบได้เป็นเล่มๆ เลยนะ วันนี้ก็เหมือนกัน

ขออย่างเดียว อย่าเอาโฆษณาที่มีเสียงมาเปิดบนเรือนะ ขอร้องล่ะ...


Made in Thailand 2 | Japan Gossip | เอ๊ะ!! เจป๊อป



(เนื่องจากเพิ่งหมดช่วงงานหนังสือ แล้วก็อ่านจบแบบรัวๆ ก็เลยอัพรวมรวดเดียวไปเลยละกัน เล่มไหนอยากเขียนยาวเดี๋ยวค่อยเขียนอีกที)

Made in Thailand 2 
(2557, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, สำนักพิมพ์ a book)

แม้ว่าหลังๆ จะไม่ค่อยได้อ่านแล้ว แต่ทุกครั้งที่ซื้อ A Day ก็จะต้องตามอ่าน Made in Thailand ของพี่เต๋อ และขอบพระคุณมากที่ทำการรวมเล่มให้จะได้จัดเก็บได้อย่างสะดวก

พี่เต๋อเป็นนักเขียนหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจิกกัด แขวะ เสียดสี แดกดัน กระทบกระแทก กระแนะกระแหนได้โดยไม่ค่อยอยากโกรธแกเท่าไหร่ เพราะน้ำเสียงแกฟังดูจะหยอกล้อและน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะเข้าใจว่าแกมองกดใคร เป็นวิธีการเขียนที่ต้องศึกษาเป็นอย่างยิ่งเพื่อเป็นประโยชน์ในการหลอกด่าคนแบบเนียนๆ แล้วเค้าไม่เจ็บช้ำน้ำใจ (มันดีเหรอวะ)

ที่รู้สึกเป็นเกียรติมากคือการได้มีชื่อตัวเองอยู่ในหนังสือพี่เต๋อ ในฐานะผู้แนะนำคลิป "เอากันในน้ำ" ปรากฏในบทที่สองของหนังสือเล่มนี้ รู้สึกภาพลักษณ์ตัวเองดีมาก ที่วันๆ ก็เปิดคลิปดูคนเอากันในน้ำแถมยังแชร์ขึ้นหน้าวอลล์ตัวเอง สมเป็นวัยรุ่นไทยหัวใจค่านิยม 12 ประการดีจริงๆ เลยเรา

------------------------------------------------

Japan Gossip เมาท์ญี่ปุ่นให้คุณยิ้ม
(2557, เกตุวดี, สำนักพิมพ์มติชน)

ชอบอ่านงานเขียนของคุณเกตุวดีใน Marumura เลยซื้อหนังสือแกมาอ่าน แต่กลายเป็นว่าเหมือนเนื้อหามันใช้ความสามารถคุณเกตุวดีไม่หมดอ่ะ แบบแกดูมีคอนเทนท์เยอะมาก และเราก็อยากฟังแกเล่าเรื่องญี่ปุ่นในมุมมองของคนในมากๆ แบบเรายินดีที่จะอ่านตัวหนังสือพรืดๆ ที่เขียนโดยคุณเกตุวดีโดยไม่มีทางบ่น แต่เล่มนี้มันออกแนวหนังสือแนะแนว ฮาวทูนิดๆ เหมาะกับคนที่จะไปทำงาน ไปเรียน หรือต้องร่วมวงสังคายนากับคนญี่ปุ่นบ่อยๆ แต่จริงๆ นะ มันลึกกว่านี้ได้อีกอ่ะ เขียนอีกเถอะค่ะ เอา Text เยอะๆ เลย เรารออ่านอยู่

------------------------------------------------

เอ๊ะ!! เจป๊อป A GUIDE TO JAPANESE POPULATION 
(2557, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน)

ชอบเนื้อหาของเล่มนี้มากกว่าสองเล่มที่แล้ว (เอ๊ะ เจแปน, เจแปน Did) ไม่ได้แปลว่าสองเล่มที่แล้วไม่ดีนะ แค่เราอินหลายๆ เรื่องในเล่มนี้มากกว่า อาจจะเป็นเพราะมันเริ่มเป็นกลุ่มคนที่ธรรมดาแล้วอ่ะ แบบเด็กนักเรียนมัธยม, คุณแม่บ้าน, ตำรวจ ฯลฯ มันรีเลทกับเราดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมให้คะแนนเล่มนี้มากกว่าเล็กน้อย

ขอสถาปนาตนเองเป็นแฟนหนังสือของคุณนัทคุง ขอให้เขียนต่อไป ยังไม่หมดหรอกกลุ่มคนทั้งหลายในญี่ปุ่น จริงๆ อยากให้เขียนถึงพวกละครและหนังด้วย หวังว่าจะได้อ่านในเล่มต่อไปและต่อไป :)


10 ข้อ เรื่องการเที่ยวคนเดียว



ได้อ่านบทความที่ว่า เหตุผลที่เราควรเที่ยวคนเดียวซักครั้งในชีวิต ในฐานะที่เคยเที่ยวคนเดียวสามสี่ครั้ง ทั้งในและนอกประเทศ จนเหมือนจะเป็นความชอบ เลยอยากบันทึกถึงเรื่องนี้เอาไว้บ้าง และพบว่ามีอยู่ 10 ข้อ ที่จะเกิดขึ้นกับเราเวลาไปเที่ยวคนเดียว ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมด และก็ไม่ได้เลวร้ายน่ากลัว เป็นข้อสังเกตที่มาจากประสบการณ์ของเราเอง อ่ะ ลองไปดูกัน...




1. อยากทำอะไรก็ทำ 
อันนี้คือข้อดีที่สุดของการไปเที่ยวคนเดียวในความเห็นเรานะ เพราะปกติถ้าไปกับเพื่อนเป็นโขลง หรือต่อให้ไปสองคนก็เหอะ มันต้องมีความเกรงอกเกรงใจ เราชอบหยุดถ่ายรูป ซึ่งถ้าคนที่ไปด้วยไม่ถ่ายรูป เขาก็จะเดินนำไปละ ดังนั้น เราก็จะถ่ายรูปอย่างด่วน เอาให้จบไวๆ แล้วก็วิ่งตามเพื่อนไป

แต่กับการไปคนเดียว ถ้านึกอย่างจะถ่ายรูป ต่อให้เป็นรูปที่ไร้เหตุผล เช่นรังแตนที่ติดอยู่บนยอดต้นข่อย เราจะทอดเวลาไปกับการถ่ายมาโครให้เห็นดีเทลของรังแตนไปสองชั่วโมงก็ไม่มีใครว่า เพราะไม่ต้องเกรงใจใคร และไม่มีใครรอเราอยู่ เป็นช่วงเวลาปลดปล่อยความต้องการเบื้องลึกที่เก็บซ่อนไว้มานานของมนุษยชาติ

อนึ่ง การเที่ยวคนเดียวนั้นเหมาะมากสำหรับการไปพวก พิพิธภัณฑ์, แกลเลอรี, หอศิลป์, ปางช้าง, สถานีอวกาศ, อาบอบนวด (พอแล้ว)


2. ไม่เขินเวลาหลง
คนเรามันก็มีฟอร์มไง ทีนี้ถ้าไปกันหลายคนแล้วเราพาเพื่อนหลงนี่มันก็เขินใช่มั้ย แต่ถ้าเราไปคนเดียว ประสบการณ์เสียฟอร์มทั้งหลายมันจะอยู่กับเราคนเดียวนี่แหละ

ปล. ส่วนใหญ่ถ้าเราเดินหลง แล้วมาเขียนเล่าเรื่องในบล็อกมักจะใช้คำว่า "เดินเล่นสำรวจเมือง" ดูไม่เสียฟอร์มแถมเท่อีกต่างหาก (เท่ตรงไหนฟะ)


3.ชีวิตมันช้าลงนิดนึง
ข้อนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการไปเที่ยวคนเดียว หรือจากการเที่ยวแบบอันแพลน เพิ่งมารู้สึกตอนไปเที่ยวคนเดียวครั้งล่าสุดนี่แหละว่าเวลามันผ่านไปช้าจัง มันคงไปเกี่ยวโยงกับข้อแรก คือเราได้ใช้เวลากับสิ่งที่เราสนใจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องไปเสียเวลากับอะไรที่เราไม่สน ไม่ต้องรอใคร และไม่ต้องให้ใครรอ รู้สึกนิ่งขึ้น และได้ใช้เวลาไตร่ตรองตัวเองมากขึ้นนิดนึง


4. กินได้ไม่เต็มที่
การเที่ยวคนเดียวมันดีตรงที่เราอยากกินอะไรก็กิน แต่เสียตรงที่กินได้ไม่มาก ปัจจัยหลักคือไม่มีเงินโว้ย ปกติถ้าไปกันหลายคน เราก็จะสั่งอาหารแบบ N+1 (จำนวนคนที่ไป บวกไปอีกหนึ่งอย่าง) ก็จะได้ชิมอาหารหลากหลายเมนู แถมหารเงินได้ด้วย แต่พอไปคนเดียว จะสั่งแบบมุทะลุอย่างนั้นก็ได้ แต่เราจะกินไม่หมด และเราจะไม่มีเงินจ่าย เป็นคนล้มละลาย ช่างน่าอับอาย โดนคนในพื้นที่ทำร้าย ทรมานร่างกาย พอแล้ว..

ดังนั้น เวลาเราไปเที่ยวคนเดียว ก็เลยจะตัดเรื่องอาหารไปเลย แบบว่าจะไม่โฟกัสกับของกินนะ กินเพื่ออยู่นะมึงนะ ดีกรีการตามล่าของอร่อยก็จะอยู่ในเลเวลสี่ คือพอแหลกล่าย คนพื้นที่เขากินกัน ราคาเป็นกันเอง


5. ขาดตัวหาร 
ต่อเนื่องจากเรื่องกิน เรื่องการเดินทาง หรือการเที่ยวแบบเหมาลำในบางที มันจะดีกว่าถ้าเรามีตัวหาร เช่น ถ้าเราไปเที่ยวในเมืองที่ระบบขนส่งมวลชนไม่อำนวย เราก็ต้องขึ้นแท็กซี่ หรือเหมารถสองแถว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราไปคนเดียวเอ็งก็จ่ายคนเดียวไปนะสิ  ถ้าเรากระเป๋าหนักก็ว่าไปอย่าง แต่คิดว่าส่วนใหญ่เราไปเที่ยวก็เขียมกันสุดฤทธิ์ (สังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของกระทู้ประเภท เที่ยว XXX ด้วยงบ XXX กระทู้ไหนใช้งบน้อยจะยิ่งได้รับความสนใจ ต่อไปคงถึงขั้น 250 บาทก็เที่ยวอเมริกาได้) อะไรที่ประหยัดได้เราก็คงอยากประหยัด

มันก็มีวิธีแก้อยู่บ้าง เช่น ถ้าไม่อยากเหมารถสองแถวก็โบกหารถที่จะผ่านไปแถวนั้น แล้วก็ขออาศัยเขาไปด้วย มันสนุกนะ แต่กว่าจะโบกได้ซักคันมันไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อโบกไปถึงที่หมายได้ แต่หารถกลับมาไม่ได้ก็เคยมาแล้ว ก็เดินกลับอย่างพ่ายแพ้ ปวดขาไปอีกสองวัน


6. ไม่มีใครถ่ายรูปให้ 
สำหรับท่านที่มีไม้เซลฟี่ก็อาจจะไม่คิดว่ามันเป็นปัญหามากเท่าไหร่ แต่เอาจริงๆ ก็เขินนะถ้าต้องถืออีไม้เซลฟี่ถ่ายรูปกับสถูปเจดีย์อยู่คนเดียว ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาคงคิดในใจว่าให้ป้าช่วยถ่ายมั้ยหนู แต่พอเราให้ป้าถ่าย รูปที่ออกมาก็มักไม่ถูกใจศิลปินแห่งชาติอย่างเราๆ ปากก็บอก "ขอบคุณนะคะป้า รูปสวยมากเลย" พอป้าเดินไปก็คิดกันในใจว่า  มุมกล้องของคุณป้ากว้างซะจนต้องไปพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลแล้วล่ะว่าอีในภาพนี่ใช่เราแน่ๆ เหรอวะ


7.ได้เจริญสติ
การเที่ยวคนเดียวมันมีอิสระก็จริง แต่มันก็อันตรายเหมือนกัน ทั้งระหว่างเดินทาง ระหว่างเดินเที่ยว ไหนจะข้าวของมีค่า ไหนจะพรหมจารีที่ถือมาด้วย โอ๊ยมันช่างละเอียดซับซ้อน

อย่างตอนไปเที่ยวคนเดียวครั้งล่าสุด แรกทีเดียวแพลนว่าจะขึ้นรถไฟตู้นอน เพราะข้อดีคือเราได้นอนเหยียดยาว พอเช้าตื่นมาก็ถึงพอดีแล้วออกเที่ยวได้เลยไม่เมื่อยเนื้อตัว แต่คิดอีกที เราเป็นคนหลับลึก ถ้าระหว่างหลับใครเขามาเอาบุหรี่จี้เราก็ไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนใจ ขึ้นรถทัวร์ไปแทน

ทางที่ดีคือต้องรู้ตัวเราตลอดเวลาว่าทำอะไร ระวังแต่ไม่ใช่ระแวง ไม่งั้นตอนเที่ยวมันไม่สนุก เราว่าแค่มีสติอยู่ตลอดเวลา ก็เพียงพอในระดับนึงแล้วสำหรับการเที่ยวคนเดียว


8. คนข้างๆ
เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้นั่งข้างใครบนรถทัวร์ มันไม่ใช่ในละครที่จะเจอพระเอกกล้ามล่ำ ที่เราสาวเปิ่นนอนหลับแล้วเผลอเอียงหัวไปซบไหล่เขาน่าเอ็นดู จนกลายเป็นความรัก เรารับได้รึเปล่าถ้าต้องนั่งข้างคุณลุงที่นอนกรน และขากสเลดตลอดเวลา, รับได้รึเปล่าถ้าคนข้างๆ เท้าเหม็นระดับเก้าต้องเอายาดมยัดจมูก, รับได้ไหมถ้าคนข้างๆ ขยับร่างกายคล้ายซ้อมยูโดไปตลอดทาง หรือไม่ก็ตดตลอดเวลาแต่ทำท่าเนียนๆ ว่ากูไม่ได้ตดนะจ๊ะ

เราเลือกคนข้างๆ ไม่ได้ และก็เช่นเดียวกัน เราก็เป็นคนข้างๆ ของคนอื่นเหมือนกัน  นึกถึงเขา นึกถึงเราเอาไว้จะดีที่สุด


9. บรรดาคนแปลกหน้า
การเที่ยวคนเดียวเปิดโอกาสให้เราได้พบเจอคนใหม่ๆ ตั้งแต่ออกเดินทางและระหว่างทาง อันนี้เราว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวแล้วว่าคุณไปเที่ยวคนเดียวเพื่ออยู่กับตัวเองคนเดียว หรือออกเดินทางคนเดียวเพื่อทำความรู้จักใครก็ไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างหลัง สิ่งที่ต้องทำคือพูด ถ้าคิดว่ามันยากก็เริ่มจากการถามคำถามก่อนก็ได้ เช่น "รถนี่มันจะไปจอดที่ไหนนะคะ" "ร้านนี้ไปทางไหนอ่ะพี่ มีคนแนะนำมาว่าอร่อย หรือพี่มีร้านอื่นอร่อยแนะนำมั้ยคะ" แล้วก็ค่อยต่อยอดบทสนทนาต่อไป

ส่วนตัวเวลาเราไปเที่ยว แม้จะเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน แต่เมื่อได้คุยกันจริงๆ แล้วจะชอบฟังมากกว่า สมองจะทำงานหนักมากเพราะต้องคิดคำถามให้พี่เขาพูดต่อ อย่าหยุดพี่ อย่าหยุด จนคนที่คุยด้วยคงอยากด่าว่ามึงจะถามอะไรกูนักหนาวะ

สิ่งที่ดีของการคุยกับคนแปลกหน้าเวลาไปเที่ยว คือเราจะมีคนและเรื่องเล่า ที่จะกลายเป็นภาพจำเมื่อนึกถึงที่นั้นๆ ในแบบที่กูเกิ้ลไม่สามารถหาได้เจอ


10. เรื่องเล่าของเราเอง 
ทุกการเดินทางจะมีเรื่องเล่าเสมอ ไม่ว่าจะไปกันกี่คน กับเหตุการณ์นึงที่เจอ แต่ละคนก็จะมีเรื่องเล่า หรือมุมมองความคิดเห็นต่อสิ่งนั้นแตกต่างกันในระดับโมเลกุลอยู่แล้ว แต่สำหรับการไปคนเดียว สิ่งที่เราเห็นและเจอ จะเป็นความทรงจำส่วนตัว เป็นเรื่องเล่าเฉพาะ ที่มีเราคนเดียวที่ได้เห็นและรับรู้ เก็บเอาไว้คิดถึงให้สยิวกิ้วอยู่คนเดียวเวลานั่งคว้างๆ ตอนตีสอง

แต่ก็นั่นแหละ ทุกการเดินทางมีเรื่องเล่าเสมอ ไม่ต้องไปคนเดียว ก็มีเรื่องเล่าเหมือนกัน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เราว่าการเที่ยวคนเดียวมันเป็นความชอบ เป็นรสนิยมส่วนบุคคลนะ คือ มันไม่ใช่กิจกรรมชิคๆ คูลๆ เพื่อบอกว่าตัวเรานี้เป็นฮิปสเตอร์เราจึงไปเที่ยวคนเดียว หรือในอีกทาง มันก็ไม่ได้อันตรายน่ากลัว จนต้องแพนิคกันเกินเหตุ บางทีมันก็เป็นจังหวะเวลาของคนเรา ที่ปกติอาจจะไม่ได้ชอบเที่ยวคนเดียวหรอก แต่ฮอร์โมนช่วงนั้นมันแปรปรวนก็เลยหิ้วกระเป๋าออกจากบ้าน ตัดภาพอีกทีคือไปโผล่ในป่าดิบชื้นทางภาคใต้นั่นแล้ว

เรากลับไม่อยากให้มองว่าการทำอะไรคนเดียวเป็นเรื่องแปลก ไม่ต้องถึงขั้นเที่ยวคนเดียวหรอก แค่ไปดูหนังคนเดียว, กินข้าวกลางวันคนเดียว, ขี้คนเดียว (อ๋อ เค้าขี้คนเดียวกันอยู่แล้วนะ) ฯลฯ มันเป็นเรื่องที่ทำกันได้ ไม่ได้แปลก ไม่ได้เหงา ไม่ได้เปลี่ยว ไม่ได้เกลียดโลก ไม่ได้ต้องเฝ้าระวัง มันก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่คนเราก็ทำได้เหมือนกัน ให้คุณค่าไม่ต่างจากการทำอะไรหลายคน และสกิลการทำอะไรด้วยตัวคนเดียวได้ มันก็จำเป็นต่อการดำคงชีวิตอยู่เหมือนกันนะ


จงรักษาแววตาวิบวับเอาไว้ให้นานที่สุด

เป็นอีกวันที่รู้สึกภูมิใจที่จะบอกใครว่าเราเคยทำงานที่ดีแทค...

วันนี้เชิญพี่โจ้-ธนา มาบรรยายให้ที่งานออฟฟิศ พนักงานมาฟังกันแน่น มีทั้งแฟนคลับที่ตั้งตารอจะมาฟัง กับคนที่เพิ่งเคยฟังพี่โจ้พูดครั้งแรก แต่เท่าที่เห็นคือทุกคนดูตั้งใจฟัง และมีแววตาปิ๊งปั๊งแพรวพราวแว๊บขึ้นมา


แววตาปิ๊งปั๊งแบบนั้นเคยเกิดกับตัวเราเมื่อเจ็ดปีก่อน สมัยที่ยังเป็นเด็กเอกฟิล์มห้าวๆ แต่ทะลึ่งไปฝึกงานในบริษัทใหญ่โคตรๆ อย่างดีแทค ไม่ได้ทำอะไรที่เกี่ยวกับฟิล์มที่เรียนมา (อ๋อ เคยโดนใช้ให้ถ่ายวิดีโองานนึง แล้วโดนด่าเพราะภาพสั่นมาก) แต่เป็นการฝึกงานที่เปิดทุกทวารการรับรู้ของเรา ได้รู้ว่าโลกที่เราเคยอยู่แม่งโคตรแคบก็วันนั้น

แววตาแบบนั้นเราได้เห็นจากน้องฝึกงานที่เราดูแลตั้งแต่รุ่น 3 ยัน รุ่น 5 ทุกครั้งที่พี่ๆ ผู้ใหญ่มาพูด การได้อยู่ท่ามกลางเด็กๆไฟแรงเป็นความโชคดีมากเรื่องหนึ่งในชีวิตการทำงาน และยังโชคดีสองชั้นที่เราได้นั่งฟังคนเก่งๆ ที่เชิญมา ไปพร้อมกับน้อง น้องได้เชื้อไฟ ส่วนพี่ได้เติมไฟ

ช่วงเวลาที่เกิดแววตาแบบนั้นเราว่ามันสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่เราเสียดายมากเพราะมันไม่เกิดกับเราบ่อยๆ ซะแล้วช่วงนี้ ตอนที่แววตาแบบนั้นแว๊บขึ้นมาเป็นโมเมนท์ที่เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เป็นโมเมนท์แห่งความร้อนแรง ลุกเป็นไฟ อยากจะตบโต๊ะ ลุกผึง แล้วเดินไปทำอะไรที่อยากทำ จะเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เป็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกยิ่งใหญ่มาก มีพลังจริงๆ

แต่ความโหดร้ายของช่วงเวลาแววตาแว๊บคือมันมีโอกาสที่จะหายไปได้เร็วมาก มันบอบบาง ถ้ามีอะไรมากระทบนิดเดียวแววตาแว๊บของเราจะหายไปจนเราลืมว่าเคยรู้สึกตัวใหญ่คับโลก เราสามารถหดร่างกลับมาเป็นคนเดิมได้เร็วมากเสียจนตัวเองยังตกใจ

อาจเป็นข้อเสียของเราเองที่ไม่อาจรักษาแววตาแว๊บนั้นเอาไว้ได้นาน เป็นข้อดีที่รู้ข้อเสียของตัวเอง แต่ก็เป็นข้อเสียที่แม้รู้แต่ก็แก้ไขไม่ได้ จากนี้ก่อนจะฝันใหญ่คิดไกล อาจจะเริ่มกับเรื่องเล็กอย่างการรักษาแววตาแว๊บเอาไว้ให้นานขึ้น เพื่อต่อเวลาให้เรามีพลังมากขึ้น น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี 

สิ่งที่ได้ฟังวันนี้ กับหลายๆ ภาพที่เห็นทำให้คิดถึงการทำงานที่ดีแทค ยิ่งรู้สึกโชคดีว่าเราได้ฝึกงาน และเริ่มทำงานที่แรกที่นั่น เคยคุยกับอั๋นว่าเราสองคนโชคดี เพราะบทเรียน ประสบการณ์ที่ใช้ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากการสั่งสอน เรียนรู้จากพี่ๆ ที่รวมงาน จากนายที่เก่ง ที่เคี่ยวเข็ญกันมา สิ่งที่อยู่กับเรามากที่สุดคือเรื่อง Mindset ที่ถูกสอนตั้งแต่ยังเด็กยังเล็ก มันเหมือนกับการตั้งเกียร์ ถ้าเราเริ่มทำอะไรซักอย่างด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง เราจะไม่กังวลว่าปลายทางจะเป็นยังไง เพราะที่เราสนใจคือสิ่งที่เก็บได้ระหว่างทางมากกว่า

วันนี้แววตาเราปิ๊งปั๊งขึ้นมาอีกแล้ว การบ้านที่ต้องทำก็คือ เก็บอาการโด่ แบบนี้เอาไว้ให้ได้นาน เหมือนมาริโอ้กินเห็ดแล้วตัวใหญ่ ช่วงเวลาดั่งทองขนาดนี้อยากทำอะไรต้องทำ เพราะถ้าฟีบเมื่อไหร่ ไม่รู้จะไปหาแรงบันดาลใจที่ไหนมาทำให้ตาเราวิบวับได้อีก

ขอบคุณความโชคดีครั้งนั้นอีกที โชคดีจริงๆ :)



ดิจิตอลทีวีอย่างง่าย ภาคชะนีติดละคร

เราเป็นผู้หญิงยิงเรือ อาจจะคิดว่าไอ้จานดาวเทียม ทีวีดิจิตอล ซื้อกล่อง ศัพท์แสงแบบ DVB-T2 ฯลฯ มันดูยุ่งยากใช่มั้ย แต่ลองคิดใหม่ สมมติว่าเธอชอบดาราชายคนนึงมาก ทนดูละครเค้าแบบหน้าบานๆ มัวๆ มาโดยตลอด อีพวกที่ดูย้อนหลังใน youtube ที่บอกว่า HD มันก็ไม่ได้ HD แท้

จนเมื่อมีการเปิดตัวทีวีดิจิตอลในเมืองไทย รายละเอียดอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจนะ สิ่งแรกที่สะดุดหูคือ ทุกอย่างมันจะออกอากาศคมชัดระดับ HD นะจ๊ะ หน้าพี่ผู้ชายคนนั้นนี่ถ้ามีหลุมมีบ่อก็จะเห็นกันวันนี้แหละ เธอจะตื่นเต้นไหมล่ะ เธออาจจะไม่ แต่ฉันโคตรตื่นเต้นเลย กรี๊ดดดดด แล้วแถมละครของพี่คนนั้นจะออนแอร์เร็วๆ นี้ แสดงว่าก็ทันน่ะสิ จะได้ดูน่ะสิ กรี๊ดดดดดดดดด

เมื่อกรี๊ดเสร็จก็เลยไล่หาข้อมูลอ่าน เพราะว่าพอดีที่บ้านติดจานดาวเทียมระบบ KU Band เอาไว้ ศึกษาจนแน่ใจแล้วว่าระบบจานแม้จะออกอากาศระบบดิจิตอลได้ แต่ความคมชัดของภาพจะไม่ได้ระดับ HD เพราะถูกเอาไปทวนสัญญาณอีกที เมื่อสะระตี่ได้ดังนั้นจึงตัดสินใจว่า ฉันจะต้องออกไปซื้อกล่อง Set Top Box กับเสาหนวดกุ้งมาประดับบารมีให้จงได้!


ทวนความเข้าใจกันก่อน อันนี้เป็นการสรุปด้วยความเข้าใจของเราเองนะ อาจจะขาดข้อมูลเชิงลึกหรือเหตุผลเชิงเทคนิค แต่เพื่ออธิบายด้วยความเข้าใจแบบงูๆ ปลาๆ ให้เหล่าแม่บ้านติดละครเข้าใจแบบไลท์ๆ ก็คงจะเป็นได้ประมาณนี้
1. การออกอากาศระบบดิจิตอลเป็นการส่งสัญญาณจากในโลก (ภาษาจริงๆ คือสัญญาณภาคพื้นดิน) ก็เหมือนกับแต่ก่อนสมัยเราขนจั๊กกะแร้ยังไม่ขึ้นที่ดูทีวีจอตู้โคตรอนาล็อกนั่นแหละ หมุนเสาเข้าไปสิกว่าจะดูได้ ดูชัด
 

2. ทีนี้ไอ้ทีวีดิจิตอลที่ได้ยินกันโครมๆ ในบ้านเราก็คือการเปลี่ยนจากการส่งสัญญาณอนาล็อกมาเป็นดิจิตอลนี่แหละ อย่าถามมากกว่านั้นเพราะไม่รู้แล้ว ที่รู้ต่อไปอีกหน่อยคือด้วยสัญญาณแบบใหม่ เทคโนโลยีใหม่ จะทำให้เราได้รับชมภาพที่คมชัดขึ้น ตัวช่องสามารถเล่นอะไรได้มากขึ้น
 

3. อีกอย่างที่มันน่าตื่นเต้น เพราะว่ามันมีการปิดประมูลกันใหม่หมดเลย คล้ายๆ ตอนประมูล 3G แต่ทีวีดิจิตอลสนุกกว่า เพราะมีผู้เล่นเยอะกว่า หน้าใหม่ก็มาเยอะ ทำให้ไปๆ มาๆ เรามีฟรีทีวีเพิ่มจาก 6 ช่อง เป็น 40 กว่าช่องแหนะ!
 

4. แต่หลังๆ มานี้ เราจะเคยชินกับระบบดาวเทียมมากกว่า เริ่มเป็นที่นิยมมากกว่า อีดาวเทียมนี่เป็นการส่งสัญญาณจากนอกโลก ประทานมาโปรดโลกมนุษย์ เราจะรับพลังจากดาวเทียมได้ก็เมื่อเรามียานประดับไว้บนหลังคาบ้าน และมีกล่องนานากล่องเสียบต่อกับทีวีอีกที ซึ่งแต่ละกล่องเค้าก็แข่งกันสุดฤทธิ์ ชั้นมีบอลโลก ชั้นมีบอลยูโร ชั้นมีฮอร์โมน ชั้นมี HBO ใครอยากดูทุกอย่างก็ต้องซื้อแม่งทุกกล่อง วางเรียงกันยังกะชั้นพระเครื่อง หยิบรีโมทผิดๆ ถูกๆ กล่องไหนซื้อขาดก็จ่ายเงินไป กล่องไหนมีรายเดือนก็หนักหน่อย
 

5. และอีช่องในระบบดาวเทียมนี่ก็ช่องเยอะ ช่องดีก็มี แต่ช่องไม่ดีเยอะกว่า เคยแจ็คพอตแตกเปิดไปเจอหนังโป๊ เขินเลยทีนี้
 

6. ดังนั้น เมื่อมันมีระบบทีวีดิจิตอล ซึ่งอยู่ในโลก มันเลยไม่เกี่ยวกับดาวเทียม ที่มาจากนอกโลก แต่มันก็มีกฎอยู่ว่า เฮ้ พวกดาวเทียม นายต้องหิ้วช่องทีวีดิจิตอลไปออกอากาศในกล่องของพวกเอ็งด้วยนะโว้ย ขั้นต่ำคือภาพต้องไปในระดับ SD (Standard Definition) ถ้าพวกนายไม่ทำเราจะโกรธพวกนาย
 

7. กฎที่ว่าชื่อ Must Carry
 

8. ทีนี้พวกดาวเทียมก็กลัว กสทช. โกรธ ก็เลยต้องออกอากาศพวกช่องทีวีดิจิตอลแบบเต็มใจรึเปล่าก็มิทราบได้ ซึ่งก็อย่างที่บอก ว่ากฎเค้าให้ must carry เค้าไม่ได้บอกว่า must carry HD ดังนั้น สัญญาณที่ทีวีดาวเทียมไปทวน แล้วปล่อยออกมา ไม่ว่าจะเป็นช่อง HD โคตรชัดขนาดไหน ก็จะกลายเป็น SD หมดบนจอของเรา
 

9. แต่ทั้งนี้ เท่าที่ทราบมาเพิ่มเติมก็คือ บางกล่องอาจจะออกอากาศบางช่องที่เป็นพันธมิตรกันในระบบ HD ให้ เช่น CTH กับช่อง ไทยรัฐทีวี GMMZ กับช่อง One HD
 

10. ดังนั้น คอละครชาวบ้านที่ดูช่องสามมาตลอดชีวิต ก็เป็นที่แน่นอนว่าต่อให้ละครออกแบบ HD แต่เราดูผ่านดาวเทียม ดูให้ตายยังไงมันก็ไม่ HD หรอก แม่คุณเอ๊ย 


นั่นแหละ เป็นความเข้าใจที่เราต้องเห็นภาพเดียวกันก่อน เพราะเห็นเพื่อนชาวบ้านแบบเราหลายคนบ่นว่า "อะไรวะ ไหนบอก HD ทำไมภาพแตกๆ หักๆ เป็นซากปรักหักพังที่อยุธยา ขี้โม้นี่หว่า" แต่พอไปสอบถามก็ได้ความว่า เพื่อนฝูงเราเขาชมผ่านดาวเทียม มันก็แตกไปตามสภาพแหละเพื่อนเอ๋ย...

ย้อนกลับไปเข้าภารกิจตามล่า Set Top Box ที่ต่อไปนี้จะเรียกว่า STB เนื่องจากขี้เกียจพิมพ์ และการพิมพ์ตัวย่อทำให้รู้สึกเท่และคูล (เหรอวะ) เราหาข้อมูลไว้ค่อนข้างเยอะ มีกระทู้ในพันทิปที่เปรียบเทียบสเป็คแต่ละรุ่นเอาไว้อย่างละเอียด พอหาไปหามาเลยตั้งใจว่าจะไปจัดกล่อง Samart หลังโค้งกลับบ้านมาด้วยเงื่อนไขของราคาและความมั่นใจในยี่ห้อ


ทีนี้พอไปเดินดูหน้าร้าน เราไปที่ Power Mall สาขาใกล้บ้าน โดนน้องพนักงานมาเชียร์กล่อง Aconatic ด้วยคุณสมบัติหลายอย่างที่ทำให้ดิฉันไขว้เขว น้องพนักงานบอกว่า

- กล่องนี่ระบายอากาศรอบทิศทางเลยครับ ถ้าระบายมากกว่านี้เป็นผ้าอนามัยไปแล้วครับพี่ (ประโยคหลังฉันเติมเอง) รับรองไม่ร้อน

- กล่องยี่ห้อนี้เป็นกล่องแรกที่ได้สติ๊กเกอร์จาก กสทช. นะครับ พี่ซื้อไปแล้วพี่ได้ความภูมิใจ (เติมเองอีกเหมือนกัน) 

- กล่องนี้ต่อไฟตรงเลยครับพี่ กล่องอื่นต้องอาศัยอแดปเตอร์ แบบนี้ทนกว่าครับพี่ (ข้อนี้เราเออๆ ออๆๆ ไป ไม่ได้เข้าใจเรื่องระบบไฟอะไรทั้งนั้นอ่ะ) 

- ที่สำคัญนะครับ กล่องนี้มีปุ่มกดที่ตัวกล่องครับ ถ้าพี่หารีโมทไม่เจอ พี่ก็ยังเปลี่ยนช่องได้อยู่ครับพี่ 


เอออออออออ! ถ้าน้องพูดข้อสุดท้ายตั้งแต่ตอนแรกพี่ก็ซื้อแล้วน้อง สำคัญตรงนี้แหละ นึกภาพตัวเองหารีโมทไม่เจอแล้วนั่งสิ้นหวังอยู่หน้าทีวีนี่มันรันทดมาก แพ้ตรงข้อนี้ ซื้อเลยค่ะ เอากล่องนี้แหละน้อง ข้อดีข้อเด่นทางเทคนิคว่ากันทีหลัง แถมมีโปรโมชั่นมาเร่งการตัดสินใจอีกอย่าง คือแถมเสาหนวดกุ้งให้ด้วย ยิ้มเลยทีนี้ เพราะที่บ้านไม่มีทั้งก้างทั้งกุ้ง เลยลองเอาน้องกุ้งไปดู ถ้าเผื่อว่าพอใช้ได้จะได้ไม่ต้องดิ้นรนเพิ่ม ถ้าใช้ไม่ได้ก็เอาไปขายต่อร้อยสองร้อยก็ว่ากันไป ว่าแล้วก็จ่ายเงิน 1,490 บาท แล้วรีบกลับบ้านมาลอง



ใช้ไม่ได้ค่ะ!

อีเสาหนวดกุ้งมันเอาความทุรกันดารห่างไกลสัญญาณของบ้านดิฉันไม่อยู่ค่ะ ลองมาถามผู้รู้ในพันทิปดูก็ได้ความว่าบ้านกันดารขนาดนี้ ถ้าไม่ก้างปลา ก็ต้องเสา Active ที่มีไฟเลี้ยงจากกล่องค่ะ ดิฉันจึงเก็บความอยากเอาไว้อีกหลายวัน กะว่าจะไปเดินห้าง เพื่อซื้อเสา Active มาซะ

แต่ผ่านไปสองวันทนไม่ไหว แวะไปร้านเฮียที่เคยมาติดจานดาวเทียมให้ บอกเฮียว่า เฮียไปขึ้นเสาก้างปลาที่บ้านหนูหน่อย หนูอยากดูทีวีดิจิตอล เฮียจำหน้าเราและบ้านเราได้ แกส่ายหัวแล้วบอก "ไม่ไหวๆ บ้านลื้อตั้งเสายาก เอานี่ไปลอง"



แล้วเฮียก็หยิบเสา Samart D1A ตู้สีขาวร่างหนา แกกล่องออกมาลองให้ดูกันแบบสดๆ ที่ร้านเฮียใช้ได้ดี เฮียบอกว่าถ้าใช้ไม่ได้ให้เอามาคืน เราคิดอยู่พักนึงก็เลยซื้อมา ใจจริงอยากไปซื้อที่ห้างมากกว่าเผื่อได้เก็บพอยท์ แต่เห็นเฮียแกทุ่มเทกับงานขายครั้งนี้ ก็เลยอุดหนุนมิตรแท้โชห่วยดีกว่า

สุดท้ายได้เสามาในราคา 550 บาท (ซื้อในห้าง 590 บาท)

*จากตรงนี้ทำให้ได้เรียนรู้ว่า อย่างกพอยท์อันเป็นเงินที่มองไม่เห็น จงซื้อของที่ถูกกว่าแบบจับต้องได้ 

เอาเสามาต่อกับกล่อง เปิดโหมดให้มันเปิดไฟเลี้ยงส่งมาที่เสา แล้วทำการแมรี่ อีส แฮปปี้ (จูน) รอประมาณห้านาที หัวใจเต้นตึ๊กตั๊ก กะว่าแม่งไม่มาแน่ๆ ต้องบากหน้าไปหาเฮีย ปรากฎว่ามันมาแล้วค่ะ ช่องงี้ขึ้นมาพรึ่บๆ โลกดิจิตอลเปิดรับหญิงแล้วค่ะ

ความรู้สึกหลังก้าวเข้าสู่โลกดิจิตอล 

- มันชัดค่ะ โดยเฉพาะช่อง HD มันชัดค่ะ ปกติดูแต่รายการเมืองนอก กับช่อง GTH ที่มันชัด ตอนนี้ละครช่องเจ็ดมันชัดแล้วค่ะ ดาราหน้างี้ลอยมาเลยค่ะ เป็นความรู้สึกแปลกใหม่มาก สัดส่วนภาพก็ไม่ยืดแล้วค่ะ ทุกคนกลับมาสมส่วน สมกับที่ไปทำโบ ไปร้อยไหมกันมา

- มันเยอะค่ะ ซึ่งก็มีทั้งดีและแย่ ดีคือมันเยอะอ่ะ ถ้าไม่อยากดูช่องนี้ก็เปลี่ยนวนไปเรื่อยๆ แต่ข้อเสียก็คือมันเยอะค่ะ เลือกไม่ถูก จำไม่ได้ และตอนนี้เพิ่งเริ่ม ยังไม่ค่อยมีคอนเทนท์ใหม่ๆ ดีๆ บางช่องแม่งฉายแต่หนังเกาหลีจนนึกว่านี่กูอยู่โซลหรือไร จะเห็นที่จริงจังกับการผลิตคอนเทนท์ก็คงเป็นช่องไทยรัฐ (ทีดูวนๆ ก็มีไทยรัฐ, Voice, Mono, Bright, CH7)


 
 


- มันติดความคมชัดค่ะ คือถ้าเลือกได้ก็จะเปิดแช่ช่อง HD ไว้อย่างงั้นเพราะมันชัด (นี่กูเป็นบ้าอะไรกับ
ความชัดนักหนาวะ) คือความชัดมันก็ดีนะ แต่สุดท้ายคอนเทนท์ต่างหากที่จะดึงให้เราอยู่กับช่องนั้นได้นานแค่ไหน

และ
.
.
.
ความรู้สึกสุดท้าย
.
.
.
ก็คือ
 
มันไม่มีช่องสามค่ะ! อีสันฝานนนนนนนนนนนนน ที่พี่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อจะเตรียมตัวรับชมละครพี่โป๊ปทางช่องสามในระบบ HD ค่ะ แต่พอซื้อกล่องมาได้สองวัน ช่องสามแถลงข่าวว่า ทุกอย่างจะยังอยู่ที่ช่องเดิม เพิ่มคำให้เก๋ว่า "ออริจินอล" รู้สึกว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังกันอยู่ แต่ชาวบ้านอย่างดิฉันรู้แค่ว่า การเตรียมตัวของดิฉันทั้งหมดทำไปเพื่ออารายยยยยยยย ยิ่งสองสามวันมานี้เปิดไปช่อง 3HD มีฉายทีเซอร์ละครใหม่ เขียนกำกับให้ช้ำใจเล่นว่า "รับชมที่ช่องสาม ออริจินอลเท่านั้น" จ้าาาาาา ดีจ้าาาาา


ก็จบไปดื้อๆ กับมหากาพย์ทีวีดิจิตอลกับชีวิตของดิฉัน ที่เริ่มมาจากความต้องการดูหน้าผู้ชายคมชัดระดับ HD บางที Passion ของคนเรามันก็เริ่มจากอะไรเห่ยๆ แบบนั้นแหละค่ะ เพราะความหื่นของดิฉันจึงทำให้ดิฉันหมกมุ่นศึกษาหาข้อมูลเรื่องทีวีดิจิตอลอยู่หลายวัน ยิ่งอ่านกระทู้ของคุณ FSX_1997 ในพันทิปยิ่งสนุก แกเขียนกระทู้ตั้งแต่กระแสทีวีดิจิตอลยังไม่ค่อยมา เล่าเรื่องของญี่ปุ่น ซะจนเราอิน เพราะเราก็ชอบดูซีรี่ส์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว ถ้าอยากสนุกกับเรื่องทีวีดิจิตอลแบบโลกกว้าง แนะนำให้ไปอ่านกระทู้ของพี่คนนี้


จะไม่ทิ้งท้ายอะไรให้เป็นสาระเลยนะ จบเลย ทำไมกูต้องเขียนอะไรยาวขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย 555