All Things Must Pass: ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเราเคย

8:17 PM NidNok Koppoets 2 Comments

All Things Must Pass: The Rise and Fall of Tower Records
(2015, Colin Hanks, A+)



ก่อนไปดูก็คิดนิดหน่อยว่าเราจะอินกับหนังมากมั้ย เพราะถึงจะเคยไปเหยียบ Tower Records ที่สยามประมาณสองครั้งถ้วน และได้อุดหนุนกันแค่ครั้งเดียว แต่เราก็ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับที่นี่อีก เราไม่ได้เป็นคอเพลงตัวยง เป็นแค่คนที่ฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย เราจะสนุกกับหนังได้มั้ย ยิ่งพอเห็นพี่ๆ ที่เป็นทั้งคอเพลง เป็นทั้งแฟนพันธุ์แท้ของร้าน เขาดูคึกคัก นอสตัลเจียกันสุดๆ เรายิ่งชักท้อ ว่าเอ หรือหนังเรื่องนี้จะไม่เหมาะกับเรา

แต่พอได้ดูจนจบ นั่งปาดน้ำตาป้อยๆ มองเอนด์เครดิตบนจอ ก็รู้แล้วว่า ที่กังวลมาก่อนหน้า เราคิดผิดทั้งหมด

All things must pass สำหรับเรา มันเป็นหนังที่เล่าเรื่องการสร้างแบรนด์ เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จโคตรๆ ของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งผ่านวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง แนวคิดในการบริหารคนแบบ Flexible ที่เขากำลังให้ความสนใจ เป็นเทรนด์อยู่ในตอนนนี้ Tower Records ทำให้เราเห็น ว่าพวกเขาใช้วิธีนี้มาแต่ไหนแต่ไร เป็นหนังที่เล่าเรื่อง Leadership ที่จะเอาไปเปิดในคลาสสอนผู้บริหารองค์กรก็ยังได้ และสุดท้ายคือมันเป็นหนังที่บันทึกยุคสมัย ที่ต่อให้เราไม่ได้มีความทรงจำร่วมกับ Tower Records ซักเท่าไหร่ แต่เราก็ยังรู้สึกกับสัจธรรมเรื่องความผ่านมา-ผ่านไป ที่เห็นในหนังได้อยู่ดี

เรามีความรู้สึกคล้ายๆ ตอนที่ดู The Master ของพี่เต๋อ-นวพล คือมันเป็นการเกิดขึ้น เจริญถึงขีดสุด แล้วก็ดับไป ภายในไม่ถึงชั่วอายุคนของสิ่งสิ่งหนึ่ง แต่ในการเกิดขึ้นของมัน แม้จะดับมอดไปแล้ว ได้เป็นหมุดหมายที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทั้งต่อภาพใหญ่ คือวัฒนธรรมการฟังเพลง/ดูหนัง ไปจนถึงภาพเล็ก คือต่อคน ที่ไปเปลี่ยนชีวิตเขา ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือร้าย แต่มันก็เป็นชิ้นส่วนประกอบประกอบขึ้นเป็นตัวตนคนนึง ในช่วงชีวิตนึงเลยน่ะ

การเติบโตและเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยคงเป็นหัวใจของหนังเลยมั้ง ผู้เล่าเรื่องทุกคนเป็นลุง เป็นป้า หรืออาจจะเป็นย่าเราเลยก็ได้ แต่ในแววตาระหว่างที่เล่าเรื่องนั้นพวกเขาเป็นวัยรุ่นหมด เขาโตขึ้นจากวันที่เป็นเด็กวัยห่ามเข้ามาทำงานเพื่อเอามันส์มากกว่าจะเอาเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง ตัวเราในตอนนั้นมันมีแต่ไฟ มองเห็นแต่ความสนุกตรงหน้า หมดเดือนได้รับเงินมา เอาไปกินดื่มให้สุขี เรามองเห็นแค่นั้นแหละ แต่พอโตขึ้น พวกลุงๆ ก็เติบโต ก็ได้สวมหัวใหม่ ตำแหน่งใหม่ จากมองแค่สิ่งตรงหน้า กลายเป็นต้องมองลงมา จากเคยเป็นแต่ผู้รับ กลายมาเป็นผู้จ่าย ทำยังไงให้ชีวิตมันซับซ้อนขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น จะทำยังไงให้ความสนุกในตัวเราไม่หายไป

เราชอบลีลาการเล่า ที่แม้จะพูดถึงเรื่องเศร้า แต่มันไม่เศร้า มันบ้า มันกวน มันมีชีวิตชีวา วิธีที่เขาปฏิบัติกับตัวละครก็เหมือนกัน เขาเล่าแบบที่ให้เรารักทุกคนที่เห็นบนจอ คือคนเราพอเลิกกันไปแล้ว เราก็มาคุยกันในเรื่องดี ของวันเก่าๆ กันเถอะ อย่าง รัสส์ โซโลมอน ผู้ก่อตั้ง Tower Records เขาคงเป็นมนุษย์ที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่หนังเลือกที่จะเล่าด้านที่ทำให้เราจะรักปู่คนนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าแกแม่งเจ๋ง แกแม่งบ้า ถึงแกจะบริหารธุรกิจจนเจ๊งไม่เป็นท่า แต่แกก็เป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่เราอยากจะจดจำ

จริงๆ มันมีประเด็นเบี้ยบ้ายรายทางที่เย้ายวนให้หนังว่อกแว่กและออกนอกลู่นอกทางมากเลยนะ แต่หนังไม่เสียสมาธิไปกับอะไรพวกนั้น ยังคงเลือกสิ่งที่อยากให้อยู่ในหนัง กรอบมันเอาไว้ให้ไปตามทาง เราว่าธงเขาชัดเจนดี จะเล่าแค่นี้ แบบนี้ แต่มันเป็นรสชาติที่อร่อยดี ครบถ้วนดี ไม่รู้สึกว่าขาดสารอาหารส่วนไหนไป

มีสองอย่างที่นึกถึงตอนดู อย่างแรกคือร้านขายเทปเพลง และวีซีดีหนังที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เป็นร้านสีเขียวๆ หน้าตาบ้านๆ เป็นร้านประจำสมัยเรียนของเรา เหมือนที่เอลตัน จอห์น บอกไว้ในหนัง ว่าการไปเดิน Tower Records ถือเป็นพิธีกรรม เราก็ทำแบบนั้นแหละ แต่เดินที่ร้านเขียว ซื้อรึเปล่าไม่รู้นะ แต่ต้องเข้าไปเช็คซะหน่อยว่ามีอะไรมาใหม่บ้าง ถ้าเป็นเด็กสยามคงไปเดินทาวเวอร์, หรือร้านดีเจสยามอะไรแบบนั้นไง แต่เราเด็กฝั่งธน ก็มีร้านเขียวขายของแมสๆ บ้านๆ แบบนี้แหละเป็นที่พึ่ง
อุดหนุนกันมาตลอดจนถึงจุดที่อยู่ดีๆ ตัวเราก็เริ่มเบื่อการซื้อเทปและซีดี มีวิธีการในการหาเพลงฟังในรูปแบบอื่น (คิดถึงโปรแกรม Soulseek มาก) เรากับร้านเขียวก็ห่างกันไป ไม่ได้ติดตามละ แถมยังย้ายไปอยู่ไกลจากเซ็นปิ่น ก็ยิ่งไม่ได้แวะเวียนเข้าไปใหญ่ ล่าสุดไปก็ไม่เจอร้านนี้แล้ว คงหมดอายุขัยของมัน

อีกอย่างที่คิดถึง และน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเชื่อมโยงกับหนังมากกว่าเรื่องวงการเพลง หรือความเป็นทาวเวอร์เรคคอร์ดส์หรืออะไร คงเป็นการนึกถึงความสนุกในการทำงาน ครั้งนึงเราก็เคยเป็นวัยรุ่นที่แม้จะไม่ห่ามขนาดพี้ยาอยู่หลังร้าน (แถมยังเบิกค่ายากับบริษัทด้วย เลวสัสๆ (ชม)) แต่ก็พลุ่งพล่านใช้ได้เลยแหละ โชคดีที่ครั้งนึงเคยได้ทำงานในทีมที่มันสนุกมากๆ ผู้นำก็ดี มีพื้นที่ให้เราได้ลองทำอะไรเยอะยะ ดีบ้าง เละบ้าง แต่มันเป็นวัฒนธรรมของทีมที่สนุก สนุกแบบที่เราไม่คิดว่าวันนึงมันจะพังพาบไม่เหลือร่องรอยไปเลยได้

มีตอนนึงที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูดประมาณว่า ที่ทำงานของเขามันไม่เหมือนเดิม เออ เราเข้าใจความรู้สึกลุงนะ คือเราออกไปได้เลยเพราะมันไม่ใช้ที่ที่เราเคยสนุกกับมันแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เมื่อความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเยี่ยมเยือน เราก็อาจจะรู้สึกไม่สบายใจกับที่ที่เราเคยสบายใจกับมันที่สุดแล้วอ่ะ แต่ให้เราเสียใจกับการจากหายไป อาจจะยังดีกว่าต้องเสียใจที่มันเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม

เลยคิดว่าที่ร้องไห้ คงเป็นเพราะเอาตัวเองเข้าไปแทนค่าในหนังมากไปหน่อย (อินสัสๆ) แบบเราเคยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสัสๆ ได้เห็นตั้งแต่มันก่อตั้ง มันพีค จนมันหายไป ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง แม้จะเดินออกมาก่อน แม้ว่ามันจะสูญสลายไปแล้ว แต่เราก็จำได้แต่ด้านที่มีแต่คำขอบคุณจะมอบให้ คุณลุงในเรื่องเล่าถึงนาฬิกาแทนคำขอบคุณที่เขาได้ แต่ในน้ำเสียงและแววตาของลุงมีแต่คำขอบคุณมอบกลับไปยังผู้ให้มากกว่า

นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเรารู้สึกกับหนังมาก และยังเชียร์ให้ใครก็ได้เข้าไปดูเรื่องนี้เถอะ ต่อให้คุณไม่ฟังเพลง ไม่ซื้อซีดี ไม่รู้จักร้านนี้เลย คุณก็จะได้แง่มุมอื่นจากมันกลับไปอยู่ดี และที่สำคัญคือมันสนุก แค่ได้ดูหนังเรื่องนึงที่มันสนุกก็พอแล้ว ไปดูเหอะ

2 comments:

  1. นึกถึง the master เหมือนกันนน
    ร้องตอนจบนิดเดียวว

    ReplyDelete