Showing posts with label 2016. Show all posts

พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ


พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ

(2559, วีรพร นิติประภา, สำนักพิมพ์มติชน) 


 
ตรงหน้าคือทีวีที่ยังเล่นฉายภาพและเพลงซ้ำๆ ในช่วงนี้ เสียงเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงจากบ้านหลังตรงข้ามดังลั่นแม้นั่นจะเป็นเวลาใกล้สองทุ่มแล้ว หยิบหนั
งสือสีไม่ดำสนิท ที่ปกมีรูปถ่ายน่าสนใจขึ้นมาอ่าน ท่ามกลางความโช้งเช้งที่รบกวน สุดท้ายอ่านไปได้ไม่ถึงบทดีก็ต้องยอมแพ้ คิดว่าคงไม่ถูกโฉลกกับเล่มนี้แน่ๆ

พอสามทุ่มกว่าน้ำอาบจนตัวหอมด้วยกลิ่นสบู่ราคาถูกที่เราชอบ แล้วจึงนั่งบนเก้าอี้โยกที่อุตส่าห์เก็บเงินซื้อมาเพื่อเอาไว้นั่งอ่านหนังสือโดยเฉพาะ ก่อนที่สองสามเดือนหลังจากนั้นจะย้ายไปนั่งขดบนโซฟาแข็งๆ ที่คอนโดเพื่ออ่านหนังสือแทน เก้าอี้โยกตัวนี้จึงเป็นเหตุผลลำดับต้นๆ เสมอที่ทำให้อยากกลับบ้านในวันหยุด เสียงเคาะคีย์บอร์ดก๊อกๆ แก๊กๆ จากเอกชัยที่นั่งง่วนทำงานอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ไม่ได้รบกวนเรามากนัก จากนั้นจึงให้โอกาสหนังสือปกดำเล่มเดิมอีกที เริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น พลิกหน้ากระดาษคอยเอ็นดูหนูดาวและยายศรี โดยไม่รู้เลยว่าพอพลิกหน้าเริ่มสู่บทต่อไป เราจะเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะที่กำลังไหลลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็วแบบที่เราคว้าเกาะอะไรได้เราก็เกาะ รถไฟพาเราไหลลงสู่ความทรงจำอันไม่ปะติดปะต่อ ขาดวิ่นครึ่งๆ กลางๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เศร้าจนอดจะร้องไห้ไม่ได้ไปหลายหน เราเหมือนเป็นดีเจอพี่อ้อยที่มีคนโทรมาเล่าเรื่องเศร้าให้ฟังแบบไม่ได้หยุดพัก เป็นเรื่องเศร้าที่เราเข้าไปช่วยแก้อะไรไม่ได้ เพราะมันได้เกิดและจบไปแล้ว เขาแค่เล่าให้เราได้ทอดถอนหายใจ ได้หม่นหมอง ก่อนจะพาเข้าสู่เรื่องเศร้าเรื่องใหม่ ใจคอทำด้วยอะไรกัน

ระหว่างอ่านก็มีภาพแว้บขึ้นมา เป็นตัวเราตอนเด็กๆ ในบ้านไม้ของคุณตาที่ระนองที่กลายเป็นของคุณป้าใหญ่ไปอีกที แม่เปิดอัลบั้มภาพเก่าๆ แล้วเล่าเรื่องโน้นนี้ให้เราฟัง เล่าว่าแต่ก่อนอาก๋งมาจากไหน คุณตาทำโรงไม้หรืออะไรซักอย่าง แล้วก็มีผิดใจกันระหว่างพี่น้อง เลยแยกย้ายกันทำธุรกิจนับจากนั้น คุณยายแต่งงานตั้งแต่อายุสิบสองและมีลูกเก้าคน แม่ในตอนเด็กและพี่น้อง เลยมาจนถึงรุ่นลูกของพี่น้องแม่อีกที ทั้งหมดนี้เป็นประวัติศาสตร์ของคนธรรมดา ที่มีเพียงภาพถ่ายและเรื่องเล่าเท่านั้นที่จะบันทึกไว้ ไม่มีใครจะเสียเวลามาสืบเสาะ ค้นหา และบันทึกประวัติศาสตร์ของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งจากเป็นสิบเป็นล้านครอบครัว เราจึงต้องเล่าสืบกันไปอย่างนี้ แม้บางทีเรื่องเล่าของเราจะเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ประกอบภาพเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เห็นในหนังสือประวัติศาสตร์กระแสหลัก แต่มันก็จะไม่ได้สำคัญอะไร เป็นเพียงชิ้นส่วนที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องเล่าที่อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ เป็นสีสันให้ประวัติศาสตร์เหล่านั้นสนุกขึ้นเล็กน้อย พอให้ขำขันแล้วคนก็จะลืมไป จนเมื่อไหร่ที่เกร็ดเล็กน้อยพวกนี้ได้เข้าไปอยุ่ในหนังสือตำรานั่นล่ะ คนเขาถึงจะสนิทใจและเชื่อบูชา

เรื่องเล่าของครอบครัวนายตงบนแผ่นดินสยามทำให้เรานึกถึงตอนที่ให้อากงของเอกชัยเล่าถึงบ้านที่เมืองจีนให้ฟัง ตอนนั้นคิดแค่ว่าสนุกดี แต่ระหว่างอ่านเล่มนี้ความรู้สึกก็เพิ่มเติมขึ้น ที่ผ่านมาเรามองจากสายตาของคนรุ่นที่ความเป็นคนไทยแทบจะถูกกลืนเป็นเนื้อเดียว เรารู้ว่าเพื่อนมีเชื้อสายจีนจากที่มันเรียกพ่อว่าป๊า เรียกปู่ว่าอากง นอกนั้นเราก็ตั้งโต๊ะไหว้วันสารทจีนด้วยการเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ต และแชร์ข่าวพฤติกรรมตลกๆ ที่เกิดในเมืองจีนเหมือนกัน หนังสือเล่มนี้จึงทำให้เราได้เข้าใจความคิดของคุณก๋ง คุณตาเราอีกนิด เรื่องราวคงไม่ได้ซ้ำกับนายตงเขาหรอก แต่มันคงมีความขมข่นบางอย่างที่รสชาติไม่ต่างกันนัก

อันที่จริงผู้อ่านถือว่าได้รับความปรานีจากคุณวีรพรผู้เขียนมากแล้ว เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รับรู้ชะตากรรมของหลายตัวละครไปจนถึงจุดจบ ปิดม่านฉากชีวิตของตัวละครนั้นๆ ไปแบบไม่ต้องเหลือให้คาใจ แต่กับตัวละครที่มีชีวิตอยู่ในเรื่องนั้นกลับไม่ได้รู้ชะตากรรมของคนที่ผ่านเข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตว่าสุดท้ายแล้วเราไปอยู่ไหน เป็นอย่างไร เหมือนเราในตอนนี้ ที่ถ้าเกิดนึกถึงชื่อเพื่อนสมัยประถมขึ้นมาได้ ก็จะเอาชื่อไปค้นหาจนเจอเฟซบุ๊กแล้วเข้าไปส่องดูว่าเขามีชีวิตที่สบายดี บางทีคนเราจากกันไปโดยไม่ได้ชำระสิ่งที่คาใจต่อกัน ไม่ได้ติดตามข่าวสารชีวิตของกัน เหมือนกับว่า ภาพสุดท้าย เสียงสุดท้าย ที่เราได้เห็นคนคนนั้น นั่นคือสุดสิ้นสุดชีวิตของเขาสำหรับเราไปแล้ว เราตายจากโดยไม่ได้เข้าใจต่อกันอย่างถ่องแท้ โกรธเกลียดกันข้ามชาติเลยก็มี ทั้งที่แค่อินบ็อกซ์ไปขอโทษขอโพย หรือนัดเจอเพื่อปรับความเข้าใจในร้านดีนแอนด์เดลูกาก็น่าจะทำให้เราไม่ต้องมีอะไรติดค้างใจกันไปได้

ผิ่งมุ่ยและจดหมายสิบหกหน้าจึงสะเทือนใจมากสำหรับเรา

ในสุดท้ายที่หนังสือให้ความหวังและทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนให้เราเดินถอยหลังจนไม่รู้จะถอยยังไงเพราะด้านหลังเป็นกำแพงดำทึบ แต่ยังมีความหวังอยู่หน่อยเพราะยังพอมองเห็นช่องประตูที่มีแสงสาดเข้ามา หนังสือกลับจบลงโดยปิดประตูนั้นทิ้งเสีย เรามีความหวังทุกครั้งที่ได้เห็นชีวิตกำเนิดใหม่ เด็กน้อยจะเป็นตัวแทนของอนาคตเสมอ ดังนั้นแม้เรื่องมันจะเศร้า แต่มันก็ยังหลงเหลือความหวังไว้ให้เราทุกครั้ง ผ่านฮง ผ่านจรัสแสง ผ่านระพินทร์ ระริน และหนูดาว แต่เมื่อหน้ากระดาษสุดท้ายสิ้นสุด เราก็พบว่าตัวเราอกหักเสียยิ่งกว่าตอนที่ไปบอกชอบผู้ชายแล้วเขาไม่ชอบกลับ โดนทำลายความหวังจนหมดแรง ขนาดสิ่งสุดท้ายที่เหลือ ที่เป็นความชุ่มชื่นใจมาตั้งแต่ต้น ยังโดนพรากเอาไปถึงขนาดนี้ นี่เราจะอ่านหนังสือความยาวสี่ร้อยกว่าหน้า ให้เขาเพียรทำร้ายแล้วทำร้ายอีกทำไม (วะเนี่ย)

ยิ่งพอคิดว่า ยังมีเรื่องเล่าคู่เคียงไปกับประวัติศาสตร์กระแสหลัก จากการเล่าสืบกันมาของครอบครัวอีกเป็นหมื่นเป็นล้านเรื่องเล่า ที่มีทั้งสุขและเศร้าคละเคล้า เป็นเรื่องจริงของผู้คนที่พยายามจะมีชีวิตให้ผ่านพ้นเงื่อนไขบรรดามีเท่าที่โลกในตอนนั้นจะหยิบยื่นให้ เท่าที่ชีวิตจะมอบกำลังให้ต่อสู้ เท่าที่โชคชะตาจะอำนวยตามแต่บุญกรรมและการสวดอ้อนวอน ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตจริงๆ แล้วมันเศร้านะ แต่ที่น่าเศร้ากว่า คงเป็นการที่เรื่องเศร้าไม่ได้ถูกเล่า ไม่ได้ถูกพูดถึงหรือแม้แต่นึกถึง เป็นชีวิตที่เกิดมาแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของใครหรืออะไร เป็นตัวละครที่ไม่มีใครให้ความสำคัญ

อย่างที่เราทำมาตลอด กับการไม่ให้คุณค่าความสำคัญกับชีวิตเล็กๆ ในสายธารประวัติศาสตร์เลย
 
 

Tsukiji Wonderland: พลังอันล้นพ้นของผู้คนในสึกิจิ

Tsukiji Wonderland | 築地ワンダーランド
(2016, Shotaro Endo, A++)



กลายเป็นหนังที่เรานั่งร้องไห้ปาดน้ำตาป้อยๆ ตลอด 20 นาทีสุดท้าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮอร์โมนแกว่ง เพราะหิวอยากกินซูชิ หรือเพราะอิจฉาพลังอันล้นพ้นของผู้คนที่พบเห็นในหนังกันแน่ แต่เรารู้สึกกับเรื่องราวเหล่านั้นมาก

ช่วงแรกยังมีความตามหนังไม่ทันเท่าไหร่ แบบเฮ้ยๆ มึงทำไมไปเร็วจัง ไม่อารัมภบทอะไรหน่อยเลยเหรอ มาถึงก็ขายปลาเลยเหรอ (ถ้าพ้นจากช่วงอ้อยอิ่งโชว์วิวกรุงโตเกียวไปแล้วน่ะนะ) แต่พอเริ่มปรับตัวได้ก็โอเคและเพลิดเพลินละ หนังเล่าเรื่องเป็นหัวข้อๆ เหมือนกับบทในหนังสือ แม้จะรู้สึกว่าประเด็นในหนังมันเยอะแยะไปหมด และในบางช่วงก็ไม่ได้เชื่อมต่อกันอย่างเรียบลื่นมากนัก แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นอารมณ์อะไรนะ เพราะสุดท้ายพอมันเล่ามาจนถึงจุดนึงที่งานอารมณ์ของเราจนได้ที่ จนต้องเสียน้ำตา อ่อ สุดท้ายแล้วท่ามกลางประเด็นหลากหลาย สิ่งที่สำคัญที่สุดอันเป็นหัวใจก็คือ คน ตลาดสึกิจิที่ยิ่งใหญ่ มีชีวิตชีวาได้ก็ด้วยผู้คนนับหมื่นที่อยู่ในนั้น ผู้คนอีกนับแสนที่อาจเคยแวะเวียนไปที่นั่น และผู้คนอีกนับล้านที่ทานอาหารที่ถูกคัดและขายจากที่นั่น

ถ้าได้ดู Jiro Dreams Of Sushi (2011) มาก่อน น่าจะยิ่งทำให้เราดื่มด่ำและดิ่งไปกับวัฒนธรรมอาหารการกินของญี่ปุ่นได้อร่อยขึ้น จำได้ว่าตอนที่ดูจิโร เราเซอร์ไพรส์กับความซับซ้อนเกินจินตนาการของเราไปมากของอาหารที่ปั้นเป็นคำๆ ดูเรียบง่าย และเรื่องราวเบื้องหลังมึงเยอะเหลือเกินนะเจ้าซูชิ แต่พอย้ายจากเรื่องหน้าครัว และความมุ่งมั่นสุดเนิร์ดของลุงจิโร่ มาสู่ Tsukiji Wonderland ทีพาไปในขั้นวัตถุดิบละ ก็เจอว่า อ้าว นี่มึงเนิร์ดกันทั้งตลาดเลย ความรักและหลงใหลในอาชีพที่ทำนั้นเหมือนไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิต แค่ขายปลาทำไมต้องรู้จักปลาเหมือนเป็นญาติสนิท แค่ขายปลาทำไมต้องรู้จักลูกค้าทุกคนที่ซื่อปลาของเรา แค่ตลาดขายปลาทำไมต้องมีห้องสมุดเอาไว้หาความรู้เรื่องปลา และเก็บประวัติศาสตร์ไปได้ แล้วขายปลาทำไมไม่โฟกัสที่กำไร แต่ขายเพื่อดำรงไว้ซึ่งจิตวิญญาณ ทำไมมมมมมมม

เข้าใจว่าสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน จากผู้คน มันก็ได้ผ่านกระบวนการเพิ่ม ลดทอน ตัด คัดเลือก อันเป็นธรรมดาของหนังซักเรื่องอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ญี่ปุ่น เราอาจจะมีความกังขามากหน่อย ว่าแหม พวกแกจะจริงจังอะไรเบอร์นั้น แต่พอเป็นญี่ปุ่นเนี่ย ต่อให้มันผ่านเทคนิคการบิลด์จนความทุ่มเทนั้นมันมีขนาดใหญ่ไปมาก แต่เราก็ยังยินดีจะเชื่อ เพราะมันเป็นญี่ปุ่นไง ญี่ปุ่นนนนนน

มานึกดู ตอนที่อินจัดจนร้องไห้ มันคือช่วงที่สัมภาษณ์คุณพี่พ่อค้าปลาที่ตลาดอุระยาสุ จังหวัดชิบะ คุณพี่เขาบอกว่า เขาเครียดทุกครั้งเวลาไปสึกิจิ เขารู้สึกว่ามวลพลังในตลาดนั้นมันมหาศาล แล้วสิ่งที่เขาแบกกลับมามันไม่ใช่แค่ปลาที่เอามาขายต่อในฐานะที่เขาเป็นพ่อค้าปลีกละ แต่มันคือความหวัง คือความรู้ คือเรื่องราวเบื้องหลังปลาแต่ละตัวที่พ่อค้าในสึกิจิมี เขาต้องถ่ายทอดสิ่งนี้ให้ลูกค้าได้รับรู้ จึงจะถือว่าเขาทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ภาพที่เห็นในหนัง คือคุณพี่คนนี้จะพยายามเล่นมุก สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับอาหารทะเลให้กับลูกค้าที่แวะเวียนมา (ซึ่งลูกค้าอยากฟังรึเปล่าก็ไม่รู้แหละ) อย่างตั้งใจมากๆ แบบ โอ้โหพี่ ทำไมภาระที่พี่แบกไว้มันยิ่งใหญ่ขนาดนี้

มันเหมือนกับไอ้ความตั้งใจพวกนี้มันไหลเวียนอยู่ในตัวปลา พ่อค้าสายส่งก็ตั้งใจจะพรีเซนท์ปลาแต่ละตัวให้ดีที่สุด ให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เพราะชาวประมงเขาเสี่ยงชีวิตไปหาปลามา เขาจะทำให้ชาวประมงผิดหวังไม่ได้ พ่อค้าคนกลางก็ต้องแข่งขันกันหาปลาที่ตอบโจทย์ลูกค้าของตัวเองให้ได้ เพราะลูกค้ามอบความไว้วางใจให้พวกเขาแล้ว ก็ต้องทำให้เต็มที่ พอเชฟร้านอาหารรับปลาไป ก็ต้อตั้งใจปรุงเนื้อปลาเหล่านั้น ให้ได้รสชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะเขารู้ว่ากว่าจะได้ปลาตัวนึงมาวางในจานมันผ่านความตั้งใจของคนจำนวนมาก และต้องให้เกียรติปลาอีก มีตอนนึงที่เชฟพูดถึงปลาชนิดนึง แล้วบอกว่า เราต้องปรุงให้คนได้รับรสชาติของ 4 ฤดูกาลที่ปลาตัวนี้มันผ่านมา เรื่องราวมันอยู่ในเนื้อปลา โอ้โห ละเอียดอ่อน พิถีพิถัน ต่อไปนี้ไม่อาจกินซูชิแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ได้อีก (อ่อ เพราะเห็นคุณค่าของเนื้อปลา /เปล่า มันแพงโว้ย!)

เมื่อหลายปีก่อนเคยติดใจคำพูดนึงที่อ่านเจอในหนังสือ ว่าคนเมืองสมัยนี้หยาบ เราไม่เคยรู้ว่าที่มาของของกินเรามาจากไหน มันเดินทางมายังไง เราก็แค่กินมันเข้าไปแล้วจบ เรารู้สึกทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ จนระหว่างดูเรื่องนี้ ก็นึกถึงคำพูดนี้ขึ้นมา เลยพอจะนึกภาพออกถึงความ "ไม่หยาบ" ที่คนพูดสิ่งนั้นหมายถึง ความละเอียดอ่อนในอาหารไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในสวนหลังบ้านสุดออแกนิกส์ แต่มันอยู่ในตลาดใหญ่โคตรแมสแบบนี้ได้ กว่าจะเป็นอาหารหนึ่งคำที่เรารับเข้าปากไป ต้องผ่านความใส่ใจ การเรียนรู้ การทุ่มเทของคนจำนวนมากแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด แม้การดูหนังเรื่องนี้จะไม่ได้ทำให้เราลดอาการแดกหนัก แดกด่วน แล้วมารื่นรมย์แอพพรีชิเอทกับรสชาติอาหารอะไรขนาดนั้น แต่อย่างน้อยใจเราก็ละเอียดขึ้นนิดนึง เมื่อเริ่มมองเห็นว่า อาหารมันไม่ใช่แค่ปัจจัยสี่ที่เรากินเข้าไปเพื่อให้มีชีวิต แต่ชีวิตต่างหากที่ไหลเวียนอยู่ในอาหาร สิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมของที่ใดๆ ได้ดีที่สุดสิ่งหนึ่งก็คืออาหาร

และญี่ปุ่นที่เรามองเห็นในอาหารของพวกเขานั้น งดงามที่สุด

แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว (One Day)

แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว (One Day)

(2016, บรรจง ปิสัญธนะกูล, B+) 





*สปอยล์แน่นอน ดูแล้วค่อยมาอ่านก็ได้จย้าาาา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ในฐานะติ่งน้องมิวก่อน
.
สองปีก่อนเคยเสียดายที่มิวไม่ได้เล่น Timeline (2014) เพราะตอนนั้นเจมส์จิดังมาก และถ้ามิวได้เล่นเรื่องนี้ก็น่าจะดังไปด้วยได้ แต่พอดูหนังจบ ก็กลายเป็นดีใจมากกว่าที่มิวไม่ได้เล่น เพราะมิวในตอนนั้นคงแบกหนังทั้งเรื่องไว้ เหมือนที่เต้ยทำไม่ได้ เพราะส่วนดีที่สุดของหนังคือเต้ยจริงๆ ศักยภาพของมิวตอนนั้นยังไม่ถึงว่ะ ถ้าน้องมาเล่นผลลัพธ์น่าจะแย่มากกว่าดี
.
เราติดตามและเฝ้ามองพัฒนาการของมิวมาตั้งแต่ละครเรื่องแรก (เอาจริงๆ กูก็คือเด่นชัยนี่แหละ ตามอยู่ลับๆ ยังกับซีเคร็ทแอดไมเรอร์) ที่เล่นแข็ง แววตาไม่สื่อสารอะไรกับใครเลย แต่พอถึงซีนที่ต้องยิ้มเมื่อไหร่ก็ตายไปตรงนั้น จนเรื่องที่สอง แม้จะดูผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังไม่ดีนะ มาเห็นเปลี่ยนแปลงชัดขึ้นคือตอนที่มิวเล่นเป็นลูกศร ในทรายสีเพลิง อันนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่ใช่ทั้งเรื่อง แต่มันมีบางซีนที่เราดูแล้วแบบ เฮ้ย มิวเก่งขึ้นว่ะ เก่งขึ้นมาก เห็นแล้วสบายใจ แต่อีกใจก็รู้สึกเสียดายความใสๆ ของมิวที่เห็นในเรื่องแรกเหมือนกัน เอาจริงๆ เราก็ยังอยากหยุดมิวไว้ให้เป็นท่านหญิงแข็งๆ แต่ยิ้มตายต่อไปนั่นแหละ
.
จนพอเห็นข่าวว่ามิวมาเล่นหนังเรื่องแรก กับ GDH ก็ดีใจและอุ่นใจนิดหน่อย เชื่อมือ GDH และพี่โต้ง อยู่พอประมาณ แต่ก็กลัวอยู่อีกนิด ว่าน้องจะไหวใช่มั้ยกับหนังใหญ่ แต่เฮ้ย ถ้าไม่ไหวเขาไม่เลือกน้องหรอก และถ้ามันไม่ดีผู้กำกับคงไม่ปล่อยแน่ๆ ว้าวุ่นอยู่คนเดียว เลยตื่นเต้นติดตามและอยากดูหนังมาก อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง นี่น่าจะเป็นหนังที่ตื่นเต้นรอชมมากเป็นลำดับต้นๆ ในชีวิตเลยมั้ง (อาการหนักกว่านี้น่าจะเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ 555)
.
จนเมื่อดูหนังจบ ก็พบว่ามิวยังคงเป็นมิวที่มีรอยยิ้มที่เราชอบคนเดิม ที่เพิ่มเติมคือพัฒนาจนเก่งขึ้นมาก มากแบบที่สบายใจหายห่วงได้แล้ว เราว่าหนังใช้ศักยภาพของมิวได้สุดดี ทั้งในแง่การแสดง และเสน่ห์ แต่ก็ใช้สุดเกินไปเหมือนกัน จนช่วงท้ายๆ รู้สึกว่ามันตันแล้ว มิวยิ้มจนรู้สึกว่ามันเยอะและพยายามไปหน่อยแล้ว อึดอัดนิดหน่อย แต่รวมๆ แล้วไม่ได้ติดอะไรมากมาย ถ้าพูดแบบผ่านๆ คือ แค่เข้าไปดูมิวยิ้ม ก็พอแล้วน่ะ
.
อ้อ และซีนที่มิวพูด "แม่ง" และ "เหี้ย" นี่คือระดับความรุนแรงต่อใจพอๆ กับที่อายาเสะจุดบุหรี่ในซีรี่ส์ Never let me go รู้สึกดีจริงๆ พีคมาก ชอบ ขออีก ขออีกกกก
.
.
ว่าด้วยหนังบ้าง

เสียดายเพราะพล็อตมันดี และอยากให้ขยี้ไปให้สุด เข้าใจว่าคงไม่อยากเสี่ยงมากมั้ง เพราะเป็นหนังเรื่องแรกของค่าย คงอยากจะค่อยๆ จูนความคาดหวังของคนดูเสียใหม่อะไรทำนองนั้นมั้ง ทั้งที่กลิ่นอายความ Stalker ความจิต ความฝัน มันฉุนมาก และถ้าเรื่องมันพาเราดิ่งไปดาร์คกว่านี้อีกซักนิดหน่อยนะ จะเซอร์ไพรส์และคงจะชอบมากกว่านี้ ทั้งที่เราว่าเขาอยากขายยาขมนะ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เลยต้องเอายาขมมาเคลือบน้ำตาล แต่ดันเคลือบหนาไปหน่อย เพลย์เซฟมากไปหน่อย
.
ชอบซีนที่เด่นชัยสารภาพวีรกรรม Stalk ของตัวเอง ในสองบริบทที่ต่างกัน โห ตอนนั้นดีมาก และจะดีไปอีกถ้าซีนสารภาพตรงที่จอดรถนั้นมันจะดาร์คเข้มกว่านี้อีกหน่อย ให้ได้ฟีล "หลอนว่ะ" มากกว่านี้ 5555 บอกแล้วว่าดีใจที่ได้เห็นพล็อตนี้ แต่เสียใจที่มันยังไปไม่สุด ไม่สาแก่ใจเรา (ทำไมมึงเอาแต่ใจจังวะ)
.
ติดขัดความไม่น่าจะเป็นไปได้หลายอย่าง ไม่ถึงขั้นกระทบกับเรื่อง แต่มันดูแล้วไม่ค่อยเชื่อ เช่นฉากที่เด่นชัยแล่นเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะบุฟเฟต์กับพี่ท็อป แม่งดูโคตรเป็นไปไม่ได้ หรือฉากเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับญี่ปุ่น อย่างการปิดม่านใส่ของเจ้าหน้าที่รถไฟญี่ปุ่น หรือหมอญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษไม่ติดสำเนียงญี่ปุ่นเลย แม่งทำไมฟังง่ายจังวะ ตอนไปคุยกับหมอที่ญี่ปุ่นนี่กว่าจะพูดให้เข้าใจ กว่าจะฟังกันออก นี่แสนยากลำบาก แต่นั่นแหละ มันไม่เกี่ยวกับสาระสำคัญของเรื่อง เลยไม่เอาเป็นอารมณ์มาก
.
แต่ที่ติดจริงๆ มีอยู่สองสามอย่าง อันแรกคือซีนในห้องนอน ตอนที่นุ้ยรู้ความจริงจากเด่นชัย เรารู้สึกว่าอารมณ์ตรงนั้นมันเร็วไปหน่อย คือในขณะที่หนัง (ซึ่งความยาวยาวมาก) ใช้เวลาทอดอารมณ์กับหลายๆ ฉากค่อนข้างมาก แต่การเคลื่อนของอารมณ์ในซีนที่ว่ามันเร็วไปอ่ะ เร็วจนเราไม่ค่อยเชื่อว่านุ้ยโกรธหรือรู้สึกอะไรกันแน่ แล้วพอเล่าต่อไป อารมณ์ของนุ้ยก็ไหลลงมาเร็วเช่นกัน แล้วบทจะสืบจนรู้เรื่องโคตรไว ไรวะเฮ้ย น้องตามไม่ทันแล้วพี่บัวลอย
.
อันที่สองคือบรรดาสิ่งจำนู่นนี่ที่หนังหย่อนเอาไว้เยอะมาก ทั้ง CTRL+Z , เพลงพี่แจ้ หนักสุดคือเอฟเวอเรสต์ เราเข้าใจนะว่าเพื่อให้ขายได้ ให้คนจำโควตไปพูดต่อ มันก็ต้องมีกิมมิคให้จำได้พวกนี้เอาไว้บ้าง แต่มันไม่คม ไม่ฮุค เหมือนอย่างที่เรื่องอื่นทำได้อ่ะ อย่างเพลงพี่แจ้นี่เสียดายมาก มาแบบงงๆ แล้วก็ไปแบบงงๆ อี CTRL นี่ก็ไม่ใช่มุกใหม่ ส่วนเอฟเวอเรสต์ เวิลด์เทรดอะไรนี่เสียดายสุดเลย มันไม่ชัด ไม่ใหม่ ไม่เคลียร์ ตอนที่เด่นชัยพูดสิ่งนี้ในซีนไคลแมกซ์ แล้วทุกอย่างคลี่คลาย เราแบบ เอ๊ะ ขึ้นมาเลย หืม เอางี้เลยเหรอ
.
แต่อันที่ชอบและอยากให้ขยี้มากกว่าสามมุกนั้น คือไอ้การเอานิ้วจิ้มเพื่อกดปุ่มพูดตรง อันนั้นดีจะตาย เสียดายที่มันไม่ถูกขยี้ให้จำได้มากนัก
.
อันที่สามคือดนตรีประกอบ ไม่รู้ว่าตั้งใจใส่เพื่อให้เราอึดอัดและพยายามจะสื่อสารอะไรกับคนดูรึเปล่า หรือจะทำให้มันตลกหรือยังไง แต่มันเยอะไปจนรู้สึก จนรำคาญ ทั้งที่อารมณ์ของนักแสดงตรงนั้นมันพอแล้วอ่ะ เพลงไม่จำเป็นเลย
.
สนใจความเป็นเหยื่อของนุ้ยมาก เป็นตัวละครที่น่าสงสารอีกตัว น่าสงสารจนเราอยากจะเป็นเพื่อน และจับมือหรือกอดนุ้ยเพื่อบอกว่ายังมีเรานะ ไอ้ความเมียน้อยที่กำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้เลยก็เศร้านึงแล้ว พอมาเจอผู้ชายที่ชอบตัวเอง ก็มาในวิธีการที่แปลกมากจนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าความรักได้มั้ย เราติดใจตอนที่นุ้ยพูดในคลิปว่า "ชีวิตนี้แกได้เจอคนที่รักแกจริงแล้วนะนุ้ย" ซึ่งก็หมายถึงเด่นชัย ที่เคลมว่าตัวเองทำนู่นนี่ให้นุ้ยมาตลอดแต่นุ้ยไม่รู้ เฮ้ย ตรงนั้นโคตรดี และเรายังคิดกับมันอยู่จนถึงตอนที่เขียนอยู่นี่ ไอ้สิ่งที่นุ้ยรับรู้นั่นสามารถเรียกเต็มปากว่าความรักได้เลยเหรอ วันนั้นนุ้ยอาจจะสนุกและรู้สึกดีที่ได้อยู่กับเด่นชัย ได้รับรู้เรื่องต่างๆ ที่เขาทำให้ แต่มันน่าจะจบลงที่ความรู้สึกดีน่ะ ถ้าเทียบกับหนุ่มสาวในกวนมึนโฮ อันนั้นยังได้มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และมีหลายโมเมนท์ที่สามารถพัฒนาไปเป็นความรักได้มากกว่าซะอีก แต่เหมือนตัวละครก็ไม่ได้พูดว่ารักกันแบบชัดเจนเท่านุ้ย การที่นุ้ยพูดคำว่า "รัก" มันเลยเหมือนนุ้ยไม่ได้หมายความถึงคำว่ารักในแบบที่เราๆ เข้าใจ นุ้ยอาจจะแค่อยากไขว่คว้าหาอะไรที่จับต้องได้ แล้วบัญญัติเรียกมันว่าความรัก เพื่อปลอบประโลมจิตใจตัวเองก็เท่านั้น
.
แต่โดยรวมแล้วมันเป็นหนังที่สนุก ไม่หวือหวาเท่าเรื่องอื่นๆ ของคุณโต้ง-บรรจง แต่ก็ยังสนุกอยู่ดี และอย่างที่บอกไปรอบที่ร้อย ว่าเสียดายที่มันไปไม่สุดในสิ่งที่เขาเริ่มไว้ อยากให้มืดและขมกว่านี้อีกนี้ดดด นิดเดียวก็ยังดี ไอ้ตอนจบที่นุ้ยและพี่ท็อปนั่งอยู่หน้าคอม ยังแอบคิดว่าไอ้พี่ท็อปมันต้องสวมรอยเป็นเด่นชัยไปอีกที ตอกย้ำความชิบหายของชีวิตนุ้ยไปให้สุด สาแก่ใจผู้ชมสายโหด แต่ก็นะ หนังเลือกจบแบบนี้ก็ดี ถือว่าเซอร์ไพรส์นะ อย่างน้อยก็เหมือนจะบอกกับผู้ชมเป็นนัยๆ ว่าค่ายนี้อาจจะขออนุญาตลดดีกรีความฟีลกู๊ดลงมานิดนึงนะ แต่ไม่ฟีลแบ้ดหรอกนะะะ แค่ขอลดลงมาหน่อย
.
.
ปล. จริงๆ เราว่าเพลง วันหนึ่ง นี่มันก็เพียงพอแล้วนะ เลือกเพลงมาได้โคตรดี จนเพลงพี่แจ้ไม่เห็นจะจำเป็นเลย

ปล2. รู้สึกว่าเคมีของสองคนนี้ไม่ค่อยเกิดเท่าไหร่ ทั้งที่กับเรื่องอื่นของเต๋อ-ฉันทวิชช์ เราซื้อเกือบหมดเลยนะ เต๋อ-ไอซ์, เต๋อ-หนูนา แต่ เต๋อ-มิว ไม่ค่อยมาว่ะ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปด้วยรึเปล่า แต่ยังไม่รู้สึกจริงๆ

Harry Potter and the Cursed Child: งานรียูเนียนแห่งโลกเวทมนตร์

Harry Potter and the Cursed Child

(2016, Jack Thorne, John Tiffany)




เนื่องจากไม่ได้จองอะไรไว้ล่วงหน้า เช้าวันอาทิตย์เลยไปดักรอตั้งแต่ห้างเปิด แล้วปรี่เข้าคิโนะด้วยความว่องไว เดาภาพในใจไว้ว่าคนต้องมุงๆ ยื้อแย่งกันหยิบหนังสือน่าดู แต่พอไปถึงร้าน อ้าว ก็ธรรมดาหนิ คิวก็ไม่มี คนก็มาหยิบหนังสือกันเรื่อยๆ ไรวะ ไม่สนุกเลย 555

ทีแรกคิดว่าคงจะใช้เวลามากกว่านี้ เพราะเล่มก่อนเวอร์ชันภาษาอังกฤษ อีนิดนกอ่านอยู่ประมาณสามชาติกว่าจะจบ ดีว่าเล่มนี้มันเป็นบทละครเวที เลยมีแต่บทพูด กับบทบรรยายนิดหน่อย ไม่ได้พร่ำพรรณาโวหารเป็นวรรณกรรมเยาวชนเหมือนเล่มพี่ ก็เลยอ่านง่ายหน่อย ใช้กลางคืนวันอาทิตย์ กับช่วงพักเที่ยงสองวันอ่านก็จบ แต่เห็นข่าว เด็กอังกฤษเก้าขวบแม่งกดไป 59 นาทีจบทั้งเล่ม น้องมีสามตาเหรอ จะเร็วไปไหน

ตัดมาที่เนื้อหา มีความเป็นงานรียูเนียนมากกว่าจะเป็นภาคต่อ คือเรื่องมันไม่ได้พาเราไปข้างหน้า เหมือนเล่ม 1-7 อันเป็นเล่มที่ J.K. เขียนเอง แต่กับ Harry Potter and the Cursed Child มันไม่ใช่เล่ม 8 ไม่ใช่เล่มที่เจ๊เขียน และจะว่าเป็นภาคต่อก็ไม่เชิงนัก (ไม่นับว่ามันเป็นบทละครเวทีด้วยนะ) แต่มันเป็นแฟนฟิค ที่เขียนด้วยความรักและคิดถึงโลกเวทมนตร์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ มากกว่า เลยทำให้ตอนอ่าน เราไม่ได้รู้สึกสนุก หรือลุ้นว่าจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เราในหน้าถัดไป แต่เป็นการตื่นเต้นว่า มันจะพาเรากลับไปรียูเนี่ยนกับตัวละคร หรือฉากไหน แบบนั้นมากกว่า

(จากนี้ไปจะสปอยล์)
เล่มนี้เริ่มฉากแรกที่การฉายซ้ำบทส่งท้ายของเล่มเจ็ด ก่อนจะพาเราไปข้างหน้า พร้อมกับตัวละครหลักคืออัลบัส เซเวอรัส ลูกชายคนกลางของแฮร์รี่กับจินนี่ คนที่ถามพ่อก่อนขึ้นรถไฟไปฮอกวอตส์ในเล่มเจ็ดนั่นแหละ ว่ากลัวตัวเองจะได้อยู่บ้านสลิธิริน แล้วความน่าตกใจ (แต่พอจะเดาได้นิดหน่อย) ก็คือ อัลบัสได้เข้าสลิธิรินแบบช็อคกันทั้งตำบล เออ อ่านถึงตรงนี้แล้วร้องออกเสียงเหมือนกันนะ แล้วก็อยากติดตามต่อละ ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง

อัลบัสไปเป็นเพื่อนสนิทกับสกอร์เปียส ลูกชายของมัลฟอย ที่ด้วยคาแรกเตอร์ที่เขาสร้างมานี่โคตรจะมีเสน่ห์ ต่างจากอัลบัสที่น่ารำคาญพอๆ กับแฮร์รี่ในเล่มสี่เล่มห้า สองคนนี้แพ็คคู่ไปเจอเรื่องราวโน่นนี่ จนบางทีอ่านแล้วก็แบบ นี่มึงเป็นเพื่อนกันจริงมั้ยเนี่ย ทำไมถึงได้พูดจาอะไรสยิวๆ ใส่กันอยู่บ่อยๆ จนตอนท้ายเรื่องนั่นแหละ ถึงมีซีนที่เฉลยว่าหนึ่งในชอบผู้หญิงจริงๆ (แต่อีกคนก็ไม่แน่)

เราตะหงิดนิดหน่อยตอนที่เรื่องมันพาไปถึงจุดที่ตัวละครจะย้อนเวลาไปช่วยเซดดริก ดิกกอรี คือเรารู้สึกว่าในมหากาพย์แฮร์รี่เนี่ยมันมีอีกหลายจุดเลยที่น่าจะกลับไป แล้วแค่พ่อเซดดริกมาบ่นๆ มันดูไม่น่าจะจูงใจให้อัลบัสอยากจะลุยไปช่วยอ่ะ แบบเข้าใจถึงความอยากจะดื้อจะเซี้ยวใส่พ่อ แต่ทำไมเรายังไม่รู้สึกว่าเหตุผลนี้มันจะ drive การกระทำได้

แต่ถ้าตัดจุดนั้นไป เราก็เพลิดเพลินกับการรวมมิตรทั้งฉากและตัวละครที่เราคิดถึงนะ เพราะเป็นการย้อนเวลา เราเลยจะกลับไปหาไปเจอใครก็ได้ ชอบตอนที่ตัดภาพกลับมายังปัจจุบัน ที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามอดีตที่เข้าไปแก้ไข ฟินสุดก็คงเป็นพาร์ทรอนกับเฮอร์ไมโอนี่แหละมั้ง เขียนมาเพื่อสาวกได้จิกหมอน เออ แล้วรอนนี่ก็ขยันขโมยซีนมาก อยากดูเวอร์ชั่นละครเลยว่าคนที่เล่นเป็นรอนจะเล่นสนุกขนาดไหน

ชอบองก์ 4 นะ อาจเพราะมันเป็นช่วงขมวดสู่ความเข้มข้นก่อนจะคลี่คลายแล้วด้วย ถ้าตัดเรื่องเดลฟี ที่มึงมายังไงวะ แล้วพ่อแม่มึงไปได้กันตอนไหนวะ ออกไปประเด็นเดียว เราชอบความงดงามตอนที่แฮร์รี่ได้เห็นภาพวาระสุดท้ายของเจมส์และลิลลี่มากเลยนะ แบบในเจ็ดเล่มที่ผ่านมา ด้วยความเป็นโลกเวทมนตร์ แฮร์รี่มีหลายโอกาสแหละที่ได้มีทแอนด์กรีทกับพ่อแม่ ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราคงจะไม่ได้มีโอกาสอะไรแบบนี้ไง แต่สิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือการได้เห็นฉากวาระสุดท้ายแบบ Live เนี่ยแหละ ซึ่งมันมาเกิดในเล่มนี้ ในช่วงวัยที่แฮร์รี่กลายเป็นพ่อคนไปแล้ว

รวมๆ แล้วเพลิดเพลินดี แม้จะไม่ได้มีอะไรให้น่าตื่นเต้นมาก แต่โลกเวทมนตร์ของแฮร์รี่ยังไงก็ไม่เคยน่าเบื่อสำหรับเราอยู่ดี นี่อยากจะเก็บเงินไปดูละครเวทีขึ้นมาเลย เพราะคิดว่าเล่มนี้ถ้าเป็นหนังก็คงกร่อยอยู่ ถ้าไม่ได้เขียนอะไรเพิ่มเติมขึ้นมา แต่พอเป็นละครเวที แล้วมาเจอไอ้พวกซีนต่อสู้กันด้วยคาถาทั้งหลาย อยากรู้เลยว่าภาพมันจะออกมาเป็นยังไง คงจะสนุกไปอีกแบบ

Everybody wants some!!: อยากกลับไปซ้ำ

Everybody wants some!! 

(2016, Richard Linklater, A-)






หนังอะไรมีแต่ไดอาล็อกคุยกันไปมา ไม่มีช่วงเร่งเร้าไคลแม็กซ์อะไร แต่ทำไมสนุก ก็ลิงก์เลเตอร์เจ้าเก่ารักษาฟอร์มเก๋าแกไว้ดี กูจะเล่าแบบนี้อ่ะ ทำไมอ่ะ

เราใช้เวลาพอสมควรเหมือนกันกว่าจะจูนเข้าไปในหนังติด แต่พอติดแล้วก็เพลินเลย สนุกไปตามที่ตัวละคร และบทสนทนาจะพาเราไป อินเรื่องเพื่อน เรื่องการอยู่ร่วมหอ ร่วมบ้านเดียวกันกับเพื่อนเยอะๆ และรอยต่อช่วงก่อนเข้ามหาลัยนะ แต่ก็เป็นความอินในระดับที่เราแค่ไปพิงๆ กับหนังอ่ะ ไม่ได้จมหรือดิ่งไปด้วยเท่าไหร่

ไม่รู้เกี่ยวกันมั้ย แต่นึกถึงสมัยก่อน มีรุ่นพี่แนะนำให้ดู High Fidelity แล้วบอกว่าเราน่าจะชอบ พอไปดูเข้าจริงๆ ก็พบว่าเราไม่ได้รู้สึกกับมันมากอย่างที่คิดไว้ เออ มันเป็นหนังที่สนุกแหละ แต่ด้วยยุคสมัยและความเป็นผู้ชายมากๆ ทำให้เราเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับหนังไม่ค่อยได้

กับ Everybody wants some!! ก็รู้สึกคล้ายๆ แบบนั้นแหละ พอมันเป็นกลุ่มเพื่อนผู้ชาย วันๆ จ้องจะแดกเหล้าและเด้าสาวอย่างเดียว เราก็ไม่เก็ทเท่าไหร่ละ แถมดันไปเกิดในยุคสมัยที่เรายังไม่เกิด เพลงที่ไม่เคยได้ยิน เลยยิ่งพาเราห่างออกไปอีก แต่ยังดีว่าหนังมันไม่ได้ปรุงแต่งมาก คือพยายามเล่าแบบให้เราเป็นผู้เฝ้าดูความเป็นไปของตัวละคร กราฟนิ่งๆ เนิบๆ ไม่ได้เร่งเร้าอะไร เลยทำให้เราสนุกกับการเฝ้าดูได้ เหมือนดูวิดีโอเทปที่พ่อแม่อัดเอาไว้สมัยแกเป็นหนุ่มสาวอ่ะ ไม่ต้องมีไคลแม็กซ์ก็ได้ แต่เราก็ได้เข้าใจ ได้รู้จักพวกเขามากขึ้นอีกนิดนึง

มีบางตัวละครที่ทำให้นึกถึงรุ่นพี่ปีโคตรแก่ชื่อพี่เงี้ยว ที่แกชอบเป็นตัวละครลับในงานรับน้องของแทบจะทุกปี (ในสมัยนั้น) แกมาของแกคนเดียว โดนแซวทุกปี แต่แกก็ยังมา ไม่รู้ว่าแกเบื่อชีวิตหรืออะไร แต่เดาว่าการได้มางานนี้คงทำให้แกกระชุ่มกระชวยหัวใจขึ้นนิดหน่อย มีบางตอนที่ทำให้นึกถึงความใสของการเป็นเด็กปีหนึ่ง ที่ขาวเป็นผ้าขาว พร้อมจะเชื่อฟังและดื้อรั้นในเวลาเดียวกัน และมีอีกฉากที่ทำให้นึกถึงวันแรกของการเข้าห้องเรียนในมหาลัย ที่ตั้งใจใส่ชุดนักศึกษาเข้าห้อง เตรียมหนังสือเล่มใหม่เอี่ยม และเครื่องเขียนครบชุด ตั้งเป้าในใจว่าจะเป็นนิดนกคนใหม่ ผู้ตั้งใจเรียน และวันนั้น ก็เป็นวันเดียวนอกจากวันสอบ ที่ใส่ชุดนักศึกษา และหนังสือเล่มนั้นก็ไม่ได้เปิดอีกเลยจนถึงวันก่อนสอบ

แปลกดีที่ตอนอยู่มหาลัยเราไม่ค่อยคิดเรื่องเรียน แค่อยากใช้ชีวิตให้คุ้ม แต่พอตอนนี้มองกลับไป ก็อยากกลับไปเข้าห้องเรียนที่สุด ชีวิตมันก็แปลกดี แต่ถ้าถามว่าชอบชีวิตมหาลัยมั้ย ก็จะตอบได้อย่างเร็วๆ เลยว่า ที่สุด

The Beginning of Life: ชีวิตที่เริ่มต้นให้ดีได้

The Beginning of Life

(2016, Brazil, Estela Renner)





เพิ่งดูเรื่องนี้ใน Netflix ที่กดเข้าไปเพราะแพ้รูปโปรโมทที่เป็นเด็กจิ๋วน่ารัก และเพิ่มเติมความรู้เผื่อวันนึงมีลูก แต่พอเห็นเครดิตก่อนเริ่มหนัง เลยได้รู้ว่าเป็นหนังที่สปอนเซอร์โดย Unicef เพื่อสร้างความเข้าใจให้คนเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กในช่วง Early year (ภาษาไทยมันจะใช้คำว่าอะไรวะ แบบปฐมวัยเหรอ หรือทารก หรือยังไงวะ) รูปแบบก็เป็นสารคดี ที่ฉายให้เห็นภาพของเด็กและครอบครัว ต่างภาษา วัฒนธรรม สถานะทางสังคม ทั้งรวยมาก จนมาก ชนชั้นแรงงาน เกย์ แม่ที่ท้องในวัยเรียน ฯลฯ ตัดสลับกับบทสัมภาษณ์ของนักวิชาการด้านพัฒนาการเด็ก, นักจิตวิทยาเด็ก ฯลฯ โดยทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำขึ้นเพื่อนำไปสู่บทสรุปเดียวที่ว่า เรามาช่วยกันสร้างสังคมที่ดีเพื่อเด็กๆ กันเถิด

หนังค่อนข้างมีโทนในการนำเสนอเป็นแง่บวกแหละ เพราะมันสร้างโดยยูนิเซฟอ่ะเนอะ ขนาดตามสลัมที่ดูจะหาความหวังไม่ได้ หนังยังเล่ามันในโทนสว่าง แล้วทิ้งช่องเอาไว้เล็กๆ ว่าที่แห่งนี้ก็ต้องการความช่วยเหลือจากพวกยูนะ แต่นอกนั้นมันเป็นการให้ความหวัง เน้นให้เห็นว่าในกระบวนการเติบโตของเด็กหนึ่งคนนั้นพวกเขาต้องการอะไรบ้าง (แน่นอนว่าไม่ใช่วัตถุพวกของเล่น ไอแพด อาหารเสริม) พ่อแม่จะมีบทบาทในการกล่อมเกลา และใช้โอกาสทองในช่วงสามขวบปีแรกของชีวิตเพื่อพัฒนาเด็กได้อย่างไร และที่สำคัญคือ สังคมมีส่วนอย่างมากต่อการเติบโตของเด็ก เพราะเด็กคือสมบัติของสังคม คือความหวังของสังคม

ดูบางช่วงแล้วคิดถึง Where to invade next เรื่องระบบการศึกษาของที่ฟินแลนด์ แล้วก็คิดถึงร่างรัฐธรรมนูญของบ้านเรา ที่เพิ่มการเรียนฟรีช่วงปฐมวัย ผลักดันให้เด็กเข้าระบบการศึกษาตั้งแต่สามสี่ขวบ ซึ่งมันย้อนทางกับสิ่งที่หนังพยายามจะสื่อ เด็กในช่วงนี้ไม่ต้องการอะไรเลยนอกจาการเล่น และการดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่จากพ่อแม่ หรือคนในครอบครัว การพูดคุยกับพวกเขาเยอะๆ การปล่อยให้พวกเขาได้เล่นอย่างอิสระต่างหากที่สร้างเซลล์ในสมองจำนวนมหาศาล ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะขนาดคนง่อยๆ ไม่ค่อยได้เสพอะไรมากอย่างเรา ยังคุ้นตาคุ้นหูว่าเคยได้อ่าน ได้ยินมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็นั่นแหละ ในบางสังคมอาจจะต้องการปกครองและควบคุมสมองของคนให้เร็วๆ หน่อย จะได้ไม่ดื้อกันมาก

คนที่มีลูก หรือกำลังจะมีลูก ดูแล้วคงได้อะไรเยอะเลย ที่สำคัญ เด็กๆ น่ารักมาก

Sing Street: แด่การเติบโตและคนรุ่นที่แล้ว

Sing Street

(2016, John Carney, A) 



- น่าจะเป็นหนังของ John Carney ที่เราสนุกกับมันที่สุด คือด้วยตัวหนัง วัยของมัน ฉากหลัง พลอททั้งหมด เอื้อให้มันเป็นหนังสนุกอยู่แล้ว บวกกับความชอบหนังแบบ Coming of Age ของตัวเองเข้าไปอีก เลยทำให้ยิ่งสนุก และชอบ Sing Street มากเข้าไปอีก

- มันเป็นหนังฟอร์มวงแบบพวก School of rock ซักซี้ด หรือ Swing girl แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว เพราะมันไม่ได้ไปโฟกัสกับความแปลกแยก ความลูสเซอร์อะไรพวกนั้น ตอนแรกเราคิดว่าหนังจะเล่าแหละ แต่เอาจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันไม่ได้ไปเสียเวลากับตรงการฟอร์มวง หรือเน้นความเนิร์ด ความกีค ความเละๆ เทะๆ ของไอ้พวกนี้ แต่ทรีทตัวละครเป็นนักดนตรีที่พอใช้ได้ เป็นวงที่โอเควงนึง แล้วให้เวลากับการฉายภาพให้เห็น กระบวนการสร้างเพลงเพลงนึง ว่ามันเป็นชิ้นส่วนของชีวิตศิลปินเหล่านั้นยังไง และมันทำให้ศิลปินเติบโตไปยังไง

- ได้อ่านสัมภาษณ์ของ John Carney เขาบอกเอาไว้ว่าอยากให้คนได้ดู creative process ของศิลปิน ซึ่งมันก็จะเริ่มจากตอนที่เป็นวงโรงเรียนนี่แหละ วัตถุดิบที่จะหยิบจับมาทำเป็นเพลงมันก็ไม่ได้มีมาก ถ้าชีวิตราบรื่นมาก วัตถุดิบก็อาจน้อย แต่ถ้าชีวิตมันชักจะหวานขม หรือที่ในหนังเรียกว่า Happy-sad เพลงก็จะมีเรื่องเล่า มีอารมณ์ กระบวนการสร้างงานศิลปะซักชิ้น ต้องประกอบขึ้นจากประสบการณ์ จากการเผชิญหน้า จากการใช้ชีวิต จากการได้เป็นมนุษย์

- ฉากหลังของหนังเซทไว้ว่าอยู่ในยุค 80 วัยรุ่นวง Sing Street ก็คือคนรุ่นพี่ หรือน้าของเรา เราว่ายุคสมัยมันสำคัญ และน่าสนใจมาก เพราะการเติบโตของวัยรุ่นในต่างยุคสมัย ยังไงก็ต่างกันในรายละเอียด แต่น่าสนใจพอกัน

- ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เมื่อหนังทำให้เราเห็นว่า ไอร์แลนด์ในยุคสมัยนั้นมันไร้ซึ่งความหวัง เมืองทำลายความฝันของหลายชีวิต ใครที่พอมีลู่ทาง ก็ขอไปหาโอกาสเอาดาบหน้าที่อื่นจะดีกว่า มันเป็นความฝันแบบดั้นด้นดิ้นรนดิบๆ แบบที่คนเจนวายอาจจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่

- คนเรามันก็ต้องดิ้นรนกันทุกยุคสมัยแหละ แค่ว่าในรายละเอียดเราดิ้นรนกันคนละแบบเท่านั้นเอง

- มีฉากนึงที่เราชอบมาก คือเป็นตอนที่คอนเนอร์ (Ferdia Walsh-Peelo) คุยกับเบรนแดนพี่ชาย (Jack Reynor) แล้วเบรนแดน (ที่คอนเนอร์มองเป็นเหมือนพระเจ้า ไว้ใจให้เป็นที่ปรึกษา เป็นกูรูของชีวิต) บอกกับเขา ว่าคอนเนอร์เพียงแค่เดินตามทางที่พี่ชายถางเอาไว้ให้ ลูกคนเล็กที่เกิดมาในตอนพ่อแม่โอเคแล้ว ไม่ได้ต้องรับรู้หรือผ่านช่วงเวลายากลำบากของการก่อร่างสร้างครอบครัวเหมือนที่เขาต้องเจอหรอก

- เราชอบประเด็นนี้ (ที่ไม่ค่อยได้เห็นในเรื่องอื่นเท่าไหร่) เราคิดถึงพี่ชาย ที่มันคงอยากพูดเหมือนกับที่เบรนแดนพูด เราเป็นลูกคนเล็ก ที่แม้ชีวิตจะไม่ได้สบาย แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าลำบาก พ่อแม่ตามใจเราได้หลายอย่าง เพราะว่าครอบครัวโอเคแล้ว แต่กับพี่ชายที่แก่กว่าเราเป็นสิบปี ต้องผ่านเวลาที่พ่อแม่ลำบากสุดๆ ซีนอารมณ์สุดๆ ต้องเสียสละ และทิ้งโอกาสบางอย่างในชีวิตไป มันอาจเป็นบาดแผลในการเติบโตของเขาก็ได้

- แต่มันเป็นความผิดของเรา หรือคอนเนอร์เหรอ ก็ไม่ใช่หรอก เพราะไม่มีใครเลือกตั้งแต่เกิดได้ว่าอยากได้คอนดิชั่นในชีวิตเป็นแบบไหน เราก็แค่คว้าโอกาสเท่าที่จะพอจับหาได้ในชีวิต แล้วทำมันให้เต็มที่ เท่าที่ชีวิตจะให้เรามา

- การขับรถไปส่ง และร่ำลาน้องชายที่ท่าเรือของเบรนแดน มันเลยดีมาก และเรารู้สึกกับฉากนั้นมากๆ ไม่มีการกอดลา แต่เรารู้ว่าพี่ชายคงเอาใจช่วยและอวยพรเราอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง และเราก็หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีเช่นกัน

- อีกฉากที่ชอบคือตอนเพลง To Find You อันนั้นทำงานดีมาก น้ำตาซึมเลย ฮือออ (ไปดูเองนะ)

- แต่กลายเป็นว่าเพลงที่ชอบสุดคือ Riddle of the model 5555 โคตรดี

- ประเด็นเรื่องโรงเรียนเราเฉยๆ ชาวไทยก็อาจจะเฉยๆ เพราะแต่ละคนเจอมาหนักกว่านี้แน่นอน และเจ้าเด็กในเรื่องก็ตอบโต้ครูไม่แซ่บเท่าที่ฮอร์โมนได้ทำเอาไว้ กะอีแค่ให้ใส่รองเท้าดำ จะไปสู้บัตตาเลียนกร้อนผมตอนเช้า กับเอาปากกาเคมีเขียนขากางเกงได้ยังไง

- ในตอนท้ายของหนัง ที่ขึ้นคำอุทิศให้ว่า To all brothers เลยอยากให้เปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นเมืองไทยว่า "แด่ทุกโรงเรียนในประเทศนี้" เย้

- น้อง Ferdia ก็ดีนะ ยิ่งช่วงท้ายๆ ที่น้องจับกีตาร์ร้องเพลงไปด้วยนั่นยิ่งดี แต่เอม่อน (Mark McKenna) นี่คือเท่สุดๆ แล้ว โอย ขอตามเป็นติ่งน้อง

- ทั้งหมดทั้งมวลคือการสรรเสริญ ชวนให้ไปดู ถ้าไม่ได้ชอบเพลง คุณจะสนุกกับหนัง แต่ถ้าชอบหนัง คุณจะรักเพลงตามไปด้วย ดี ไปดูเถอะ

The Propaganda Game: ความจริงที่ไม่อยากให้จริง

The Propaganda Game
(2015, Álvaro Longoria, B+)





เพิ่งดูเรื่องนี้จบใน Netflix ผู้กำกับหนังชาวสเปน Alejandro Cao De Benós เขาสนใจในประเทศเกาหลีเหนือ เขาอยากเห็นความเป็นอยู่ข้างในประเทศลี้ลับนั้น และทำเป็นหนังสักเรื่อง เขาเลยติดต่อขอความช่วยเหลือจาก Alejandro Cao De Benós ชาวสเปนที่คลั่งไคล้ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบเกาหลีเหนือตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จนสานต่อความฝัน แล้วเข้าไปทำงานในฐานะผู้แทนพิเศษด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเกาหลีเหนือ เคยเห็นพี่คนนี้อยู่บ่อยครั้งเวลาเข้าไปดูคลิปเกี่ยวกับกับหลีเหนือ แกเหมือนเป็น Spokeperson เป็นทีมพีอาร์ของประเทศไปแล้ว

Alejandro ให้ทีมงานของ Alvaro เข้ามาถ่ายทำในเกาหลีเหนือได้ โดยมีข้อแม้ (เหมือนกับพวกนักท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เข้าไปเที่ยวในเกาหลีเหนือนั่นแหละ) ว่าคณะของ Alejandro จะต้องอยู่กับทีมถ่ายทำตลอด จัดคอร์สพาไปเที่ยวที่ต่างๆ ให้ ทีมงานไม่สามารถเดินเพ่นพ่านถ่ายอะไรตามใจชอบได้ และแทบจะไม่ปล่อยให้ทีมงานอยู่ตามลำพังเลยด้วย ตามคุมตลอด แต่เราว่าก็คุ้มนะ เพราะด้วยความเส้นใหญ่ของพี่ Alejandro ทำให้หนังสามารถพาเราเข้าไปดูหลายๆ ที่ที่ไม่ค่อยได้เห็นในสารคดี หรือคลิปเกี่ยวกับเกาหลีเหนือบ่อยๆ อย่างเช่นภายในมหาวิทยาลัยคิมอิลซอง หรือในโบสถ์คริสต์ในเมืองเปียงยาง เออ มันมีโบสถ์คริสต์ด้วยอ่ะ งงใช่ป่ะล่ะ

เราชื่นชมวิธีการของผู้กำกับที่จะทำให้ได้มาซึ่งภาพ และคำตอบหลายๆ อย่างที่เขาต้องการ โดยวิธีการที่เขาใช้นั้นไม่ดุดันนะ สังเกตวิธีการตั้งคำถามของ Alvaro ต่อการสัมภาษณ์ทั้งคนเกาหลีเหนือเอง หรือจะ Alejandro นั้นเป็นไปด้วยความเคารพและสนใจใคร่รู้ คือเรารู้แหละว่าเขาฝมองประเทศนี้ไว้ยังไง เพียงแต่วิธีการตั้งคำถาม และการปฏิบัติต่อคน และสิ่งที่เขาเห็นมันไม่ได้เป็นไปเพื่อเมคฟัน เพื่อหาภาพเวียร์ดๆ มาสนองความศิวิไลซ์ของตัวเอง แล้วกดคนที่นั่นให้ต่ำลงหรือเป็นตัวตลกไป เอาจริงๆ ถ้าจะมีใครในหนังดูตลก ก็คงเป็นตา Alejandro นั่นแหละ กับบางครั้งที่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ และเริ่มไม่แน่ใจในสิ่งที่เขาเชื่อ จนหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดไม่ทัน ตรงนั้นแหละที่น่าสงสารเขาที่สุด

แรกทีเดียวเราดูเรื่องนี้เพราะแค่อยากเห็นภาพอันหายากข้างในประเทศเกาหลีเหนือแค่นั้นแหละ ก็อยากจะเสพความเอ็กโซติก แต่พอตั้งใจดู ตามหนังไปเรื่อยๆ ก็เริ่มหดหู่ปนเศร้า ภาพในเมืองเกาหลีเหนือคมชัดสวยงามระดับ HD (แค่นี้ก็คุ้มแล้วนะ) ที่ที่หนังพาไปเราเคยได้เห็นในภาพนิ่ง หรือคลิปตามยูทูปบ้าง แต่กองถ่ายทำแบบนี้ยังไงก็ให้คุณภาพภาพที่สวยงามกว่าอยู่แล้ว หลายๆ ทิวทัศน์ในเปียงยางสวยมาก และเราได้เห็นมุมที่ผู้คนออกมาใช้ชีวิต แบบที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ เห็นประชาชนที่อ้วนๆ สองสามคน (ชอบมีคำพูดทำนองว่า ทั้งประเทศ มีแต่คิมจองอึนเท่านั้นแหละที่อ้วน วันนี้เห็นคนอ้วนคนนึงละ 555) เห็นเด็กๆ เล่นโรลเลอร์เบลด (ใช่ ที่เราเคยฮิตกันเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว) อยู่ในสวนสาธารณะ มีอากง อาม่า เต้นออกกำลังกาย เห็นอีกมุมที่ไม่ค่อยได้เห็น เกาหลีเหนือในความคิดของเรามันเลยเริ่มมีมิติมากขึ้นนะ แต่ก่อนจะมองมันค่อนข้างแบน

แต่ในภาพที่ดูธรรมดานั้นมันไม่ธรรมดาหรอก ยิ่งถ้ามองจากคนที่อยู่ข้างนอก แค่เห็นการแต่งตัว ตึกรามบ้านช่องในนั้น ยังไงมันก็แปลก แต่ถ้าเราเป็นคนข้างใน ที่โตมาแบบเชื่อฟังไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยเห็นอะไรข้างนอก ไม่เคยตั้งคำถาม ชีวิตพวกเขาก็คงมีความสุขดี เราไม่รู้ความคิดของคนเหล่านั้น เพราะเขาไม่เปิดโอกาสให้สัมภาษณ์ลงลึกกับประชาชนคนเดินถนนได้มาก มีคำถามเดียวที่เข้าใกล้ความออกนอกลู่ และเสียวจะโดนลบฟุตเทจมากที่สุด คือตอนที่ Alvaro ผู้กำกับ ถามเด็กหนุ่มอดีตทหารที่ตอนนี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมรถไฟ ว่า "ความฝันของเขาคืออะไร" เด็กหนุ่มคนนั้นอึ้งไป อึ้งแบบอึ้งจริงๆ ว่า แล้วความฝันของเขาคืออะไร ก่อนที่จะยิ้มๆ แล้วบอกว่า เขาคงอยากทำงานเป็นวิศกรรถไฟ เพื่อรับใช้ท่านผู้นำ เป็นคำตอบที่ทำให้โล่งใจกันไปทุกฝ่าย ไม่ว่ามันจะออกมาจากใจของเขาจริงหรือไม่ก็ตาม

ในช่วงท้าย หนังตั้งคำถามว่า ถ้าเกาหลีเหนือล่มสลายขึ้นมา โลกจะเป็นอย่างไร คำตอบที่โหดร้าย แทบจะจากทุกคนที่ให้สัมภาษณ์ ต่างก็พูดไม่ต่างกันว่า ไม่มีใครอยากให้เกาหลีเหนือล่มสลาย โดยเฉพาะพวกผู้เล่นเบอร์ใหญ่ๆ อย่างจีน อเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เกาหลีใต้เองก็ตาม การดำรงอยู่ของรัฐที่ละเมิดและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์อยู่ทุกวี่วัน สร้างผลประโยชน์มหาศาล และในอีกทาง ก็ไม่เป็นภาระให้กับประเทศเบอร์ใหญ่พวกนี้ พวกเขาจึงยังต้องรักษาความเป็นเกาหลีเหนือเอาไว้ และเล่นเกม Propaganda เกมที่เกาหลีเหนือทำกับประชาชนของพวกเขา สร้างตัวร้าย ตัวตลก ตัวประหลาดอย่างเกาหลีเหนือขึ้นมา และรักษาเจ้าตัวประหลาดตัวนี้เอาไว้ ตราบใดที่ยังไม่มีใครสมประโยชน์กันซักที

บทสรุปหนึ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูดเอาไว้จึงสะท้อนความจริงได้ดี เธอคนนั้นบอกว่า บางที คนกลุ่มเดียวที่อยากเห็นการล่มสลายของเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง ก็คงจะมีแต่ประชาชนของเกาหลีเหนือเองเท่านั้นเอง

น่าเศร้านะ


All Things Must Pass: ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเราเคย

All Things Must Pass: The Rise and Fall of Tower Records
(2015, Colin Hanks, A+)



ก่อนไปดูก็คิดนิดหน่อยว่าเราจะอินกับหนังมากมั้ย เพราะถึงจะเคยไปเหยียบ Tower Records ที่สยามประมาณสองครั้งถ้วน และได้อุดหนุนกันแค่ครั้งเดียว แต่เราก็ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับที่นี่อีก เราไม่ได้เป็นคอเพลงตัวยง เป็นแค่คนที่ฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย เราจะสนุกกับหนังได้มั้ย ยิ่งพอเห็นพี่ๆ ที่เป็นทั้งคอเพลง เป็นทั้งแฟนพันธุ์แท้ของร้าน เขาดูคึกคัก นอสตัลเจียกันสุดๆ เรายิ่งชักท้อ ว่าเอ หรือหนังเรื่องนี้จะไม่เหมาะกับเรา

แต่พอได้ดูจนจบ นั่งปาดน้ำตาป้อยๆ มองเอนด์เครดิตบนจอ ก็รู้แล้วว่า ที่กังวลมาก่อนหน้า เราคิดผิดทั้งหมด

All things must pass สำหรับเรา มันเป็นหนังที่เล่าเรื่องการสร้างแบรนด์ เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จโคตรๆ ของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งผ่านวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง แนวคิดในการบริหารคนแบบ Flexible ที่เขากำลังให้ความสนใจ เป็นเทรนด์อยู่ในตอนนนี้ Tower Records ทำให้เราเห็น ว่าพวกเขาใช้วิธีนี้มาแต่ไหนแต่ไร เป็นหนังที่เล่าเรื่อง Leadership ที่จะเอาไปเปิดในคลาสสอนผู้บริหารองค์กรก็ยังได้ และสุดท้ายคือมันเป็นหนังที่บันทึกยุคสมัย ที่ต่อให้เราไม่ได้มีความทรงจำร่วมกับ Tower Records ซักเท่าไหร่ แต่เราก็ยังรู้สึกกับสัจธรรมเรื่องความผ่านมา-ผ่านไป ที่เห็นในหนังได้อยู่ดี

เรามีความรู้สึกคล้ายๆ ตอนที่ดู The Master ของพี่เต๋อ-นวพล คือมันเป็นการเกิดขึ้น เจริญถึงขีดสุด แล้วก็ดับไป ภายในไม่ถึงชั่วอายุคนของสิ่งสิ่งหนึ่ง แต่ในการเกิดขึ้นของมัน แม้จะดับมอดไปแล้ว ได้เป็นหมุดหมายที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทั้งต่อภาพใหญ่ คือวัฒนธรรมการฟังเพลง/ดูหนัง ไปจนถึงภาพเล็ก คือต่อคน ที่ไปเปลี่ยนชีวิตเขา ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือร้าย แต่มันก็เป็นชิ้นส่วนประกอบประกอบขึ้นเป็นตัวตนคนนึง ในช่วงชีวิตนึงเลยน่ะ

การเติบโตและเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยคงเป็นหัวใจของหนังเลยมั้ง ผู้เล่าเรื่องทุกคนเป็นลุง เป็นป้า หรืออาจจะเป็นย่าเราเลยก็ได้ แต่ในแววตาระหว่างที่เล่าเรื่องนั้นพวกเขาเป็นวัยรุ่นหมด เขาโตขึ้นจากวันที่เป็นเด็กวัยห่ามเข้ามาทำงานเพื่อเอามันส์มากกว่าจะเอาเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง ตัวเราในตอนนั้นมันมีแต่ไฟ มองเห็นแต่ความสนุกตรงหน้า หมดเดือนได้รับเงินมา เอาไปกินดื่มให้สุขี เรามองเห็นแค่นั้นแหละ แต่พอโตขึ้น พวกลุงๆ ก็เติบโต ก็ได้สวมหัวใหม่ ตำแหน่งใหม่ จากมองแค่สิ่งตรงหน้า กลายเป็นต้องมองลงมา จากเคยเป็นแต่ผู้รับ กลายมาเป็นผู้จ่าย ทำยังไงให้ชีวิตมันซับซ้อนขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น จะทำยังไงให้ความสนุกในตัวเราไม่หายไป

เราชอบลีลาการเล่า ที่แม้จะพูดถึงเรื่องเศร้า แต่มันไม่เศร้า มันบ้า มันกวน มันมีชีวิตชีวา วิธีที่เขาปฏิบัติกับตัวละครก็เหมือนกัน เขาเล่าแบบที่ให้เรารักทุกคนที่เห็นบนจอ คือคนเราพอเลิกกันไปแล้ว เราก็มาคุยกันในเรื่องดี ของวันเก่าๆ กันเถอะ อย่าง รัสส์ โซโลมอน ผู้ก่อตั้ง Tower Records เขาคงเป็นมนุษย์ที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่หนังเลือกที่จะเล่าด้านที่ทำให้เราจะรักปู่คนนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าแกแม่งเจ๋ง แกแม่งบ้า ถึงแกจะบริหารธุรกิจจนเจ๊งไม่เป็นท่า แต่แกก็เป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่เราอยากจะจดจำ

จริงๆ มันมีประเด็นเบี้ยบ้ายรายทางที่เย้ายวนให้หนังว่อกแว่กและออกนอกลู่นอกทางมากเลยนะ แต่หนังไม่เสียสมาธิไปกับอะไรพวกนั้น ยังคงเลือกสิ่งที่อยากให้อยู่ในหนัง กรอบมันเอาไว้ให้ไปตามทาง เราว่าธงเขาชัดเจนดี จะเล่าแค่นี้ แบบนี้ แต่มันเป็นรสชาติที่อร่อยดี ครบถ้วนดี ไม่รู้สึกว่าขาดสารอาหารส่วนไหนไป

มีสองอย่างที่นึกถึงตอนดู อย่างแรกคือร้านขายเทปเพลง และวีซีดีหนังที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เป็นร้านสีเขียวๆ หน้าตาบ้านๆ เป็นร้านประจำสมัยเรียนของเรา เหมือนที่เอลตัน จอห์น บอกไว้ในหนัง ว่าการไปเดิน Tower Records ถือเป็นพิธีกรรม เราก็ทำแบบนั้นแหละ แต่เดินที่ร้านเขียว ซื้อรึเปล่าไม่รู้นะ แต่ต้องเข้าไปเช็คซะหน่อยว่ามีอะไรมาใหม่บ้าง ถ้าเป็นเด็กสยามคงไปเดินทาวเวอร์, หรือร้านดีเจสยามอะไรแบบนั้นไง แต่เราเด็กฝั่งธน ก็มีร้านเขียวขายของแมสๆ บ้านๆ แบบนี้แหละเป็นที่พึ่ง
อุดหนุนกันมาตลอดจนถึงจุดที่อยู่ดีๆ ตัวเราก็เริ่มเบื่อการซื้อเทปและซีดี มีวิธีการในการหาเพลงฟังในรูปแบบอื่น (คิดถึงโปรแกรม Soulseek มาก) เรากับร้านเขียวก็ห่างกันไป ไม่ได้ติดตามละ แถมยังย้ายไปอยู่ไกลจากเซ็นปิ่น ก็ยิ่งไม่ได้แวะเวียนเข้าไปใหญ่ ล่าสุดไปก็ไม่เจอร้านนี้แล้ว คงหมดอายุขัยของมัน

อีกอย่างที่คิดถึง และน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเชื่อมโยงกับหนังมากกว่าเรื่องวงการเพลง หรือความเป็นทาวเวอร์เรคคอร์ดส์หรืออะไร คงเป็นการนึกถึงความสนุกในการทำงาน ครั้งนึงเราก็เคยเป็นวัยรุ่นที่แม้จะไม่ห่ามขนาดพี้ยาอยู่หลังร้าน (แถมยังเบิกค่ายากับบริษัทด้วย เลวสัสๆ (ชม)) แต่ก็พลุ่งพล่านใช้ได้เลยแหละ โชคดีที่ครั้งนึงเคยได้ทำงานในทีมที่มันสนุกมากๆ ผู้นำก็ดี มีพื้นที่ให้เราได้ลองทำอะไรเยอะยะ ดีบ้าง เละบ้าง แต่มันเป็นวัฒนธรรมของทีมที่สนุก สนุกแบบที่เราไม่คิดว่าวันนึงมันจะพังพาบไม่เหลือร่องรอยไปเลยได้

มีตอนนึงที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูดประมาณว่า ที่ทำงานของเขามันไม่เหมือนเดิม เออ เราเข้าใจความรู้สึกลุงนะ คือเราออกไปได้เลยเพราะมันไม่ใช้ที่ที่เราเคยสนุกกับมันแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เมื่อความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเยี่ยมเยือน เราก็อาจจะรู้สึกไม่สบายใจกับที่ที่เราเคยสบายใจกับมันที่สุดแล้วอ่ะ แต่ให้เราเสียใจกับการจากหายไป อาจจะยังดีกว่าต้องเสียใจที่มันเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม

เลยคิดว่าที่ร้องไห้ คงเป็นเพราะเอาตัวเองเข้าไปแทนค่าในหนังมากไปหน่อย (อินสัสๆ) แบบเราเคยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสัสๆ ได้เห็นตั้งแต่มันก่อตั้ง มันพีค จนมันหายไป ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง แม้จะเดินออกมาก่อน แม้ว่ามันจะสูญสลายไปแล้ว แต่เราก็จำได้แต่ด้านที่มีแต่คำขอบคุณจะมอบให้ คุณลุงในเรื่องเล่าถึงนาฬิกาแทนคำขอบคุณที่เขาได้ แต่ในน้ำเสียงและแววตาของลุงมีแต่คำขอบคุณมอบกลับไปยังผู้ให้มากกว่า

นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเรารู้สึกกับหนังมาก และยังเชียร์ให้ใครก็ได้เข้าไปดูเรื่องนี้เถอะ ต่อให้คุณไม่ฟังเพลง ไม่ซื้อซีดี ไม่รู้จักร้านนี้เลย คุณก็จะได้แง่มุมอื่นจากมันกลับไปอยู่ดี และที่สำคัญคือมันสนุก แค่ได้ดูหนังเรื่องนึงที่มันสนุกก็พอแล้ว ไปดูเหอะ

Hanachan no Misoshiru: ร่องรอยที่ไม่ลืมเลือน

Hanachan no Misoshiru
(2015, Tomoaki Akune, B+) 



เราว่ามันไม่ใช่หนังเชิงให้กำลังใจอะไรแบบนั้นนะ เพราะสิ่งเดียวที่บั่นทอนตัวละครในเรื่อง ก็คือมะเร็ง ที่สู้ยังไงก็แพ้ แต่ในการแพ้ตลอด ตัวละครอย่าง จิเอะ กลับถอยมาเพื่อจัดการกับชีวิตตัวเอง รับมือกับความตายที่จะมาถึง เพื่อให้เธอจากไปได้อย่างหมดจด งดงามที่สุด

สำหรับเรา มันคือหนังที่เล่าเรื่องแม่-ลูก มากกว่า เราว่าลูกสาวแทบทุกคนต้องมีโมเมนท์ที่ได้ทำอะไรร่วมกับแม่อยู่ในครัว คือมันเป็นพื้นที่ของแม่กับลูกสาว (และอาจจะลูกชายด้วย) ที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้ถ่ายทอดและส่งต่อรสชาติ และกรรมวิธี ที่ร้อยบ้านก็ต่างกันไปร้อยวิธี แม่อาจจะไม่ได้ลงมือสอนเรา แต่ทุกการขยับตัว ท่วงท่า เสียงหั่น สับ ควันคลุ้งจากกระทะที่ตั้งน้ำมันจนร้อนฉ่า รสสัมผัสพวกนั้นมันติดตรึงอยู่ในตัวเรามาตลอด เราอาจจะจำมันเป็นภาพที่ชัดไม่ได้ แต่เรานึกถึงมันอยู่เสมอ และ - อย่างไม่รู้ตัว เราเองก็ได้ซึมซับ และรับเอาตัวแม่มาอยู่ในตัวเราไปแล้ว

มันเลยเป็นการสั่งเสียที่ไม่ได้ฟูมฟายยาวย้วยด้วยไดอาล็อกพร่ำบอกว่ารัก แต่เป็นการทิ้งร่องรอยของผู้ที่จากไป ผ่านรสชาติ และกรรมวิธีการปรุง ผ่านกลิ่นผ้าหอมแดด ผ่านกองผ้าที่พับไว้ในตู้ ผ่านเพลงที่เราชอบร้องชอบฟัง ทั้งหมดนั้นคือตัวเราที่ถูกทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหน เมื่อคนที่ยังอยู่ได้กิน ได้กลิ่น ได้มอง ได้ยิน พวกเขาก็จะยังนึกถึงเราอยู่เสมอ

หนังมันมีพลังบวกอยู่เยอะ แบบดูมาจนถึงฉากคอนเสิร์ตแล้วอยู่ดีๆ ก็แว้บขึ้นมาว่า นี่กูยังไม่ได้เกลียดตัวละครไหนเลยอ่ะ คือทุกตัวมีไว้เพื่อให้เรารักหมดเลย คือมันเป็นชุมชน เป็นคนที่แวดล้อมด้วยสิ่งที่ดีๆ เป็นไปได้ว่า เขาคงอยากจะกรอบภาพสุดท้ายก่อนตายของเราให้มันเหลือแต่สิ่งที่ควรค่าแก่การจดจำ ให้เหลือแต่คนที่เรามีความหมายกับเขา และเขาก็มีความหมายกับเรา ทีนี้พอทุกคนเป็นคนดีหมด มันก็มีความเลี่ยนเหมือนกัน แต่เราไม่ได้มีปัญหากับอะไรตรงนั้น เพราะไอ้พาร์ทแม่-ลูกนั้นเอาเราอยู่หมดแล้ว

Ryoko Hirosue คือแก่ไปมาก เธอเป็นรักแรกๆ ของเราตั้งแต่ยังอยู่มัธยม ตอนนั้นชอบอยู่ไม่กี่คน มีทาเคอุจิ ยูโกะ แล้วก็ฮิโรสุเอะนี่แหละ ติดใจจากเรื่อง Otousan ที่ฉายใน iTV สมัยนั้น น่ารักชิบหายวายป่วง แต่ก็เนอะ ผ่านมาเป็นสิบปีก็ต้องมีเฒ่าชรากันไปบ้าง เพราะความแก่เลยทำให้ไม่อินช่วงแรกที่เธอเล่นแอ๊บเด็กก่อนแต่งงานเท่าไหร่ แต่พอเข้าโหมดคุณแม่แล้วไม่มีข้อกังขา, Kenichi Takito คือเกือบจะเป็นคุณพ่อไม่เอาไหนคลิเชๆ แต่ไม่ใช่ว่ะ เราว่าเขาเล่นแล้วพาเราไปไกลกว่านั้น แต่ที่ดีมาก ดีที่สุด คือน้อง Emina Akamatsu น่ารักเหลือเกินลูกแม่ ถ้าบทฮานะได้เด็กที่กระแดะเกินวัยไปกว่านี้หนังจะพังพาบไปทั้งเรื่องเลย แต่น้องเอมินะก็เป็นเด็กแบบนี้แหละ ไปดูคลิปสัมภาษณ์ ก็เออ น้องก็เล่นเป็นตัวน้อง แค่ไม่มองกล้อง

ระดับความพังในการดูของเราคือเต็มสิบกูให้ไปเลยยี่สิบ ไม่เคยร้องไห้แบบเสียสติในโรงหนังหนักเท่าครั้งนี้ คิดว่าเพราะหนังก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือคงคิดถึงแม่ด้วย พอเรารีเลทกับหนังได้เลยยิ่งอินมาก มีหลายครั้งที่เราเสียดาย ที่เราไม่ได้ถาม และแม่ก็ไม่ได้สอนอะไรหลายอย่างเอาไว้ให้ ยิ่งเวลาทำอาหารสมัยนี้ เวลาที่ต้องมั่วซั่วด้นสด เวลานั้นจะคิดถึงแม่เสมอ ว่ารู้งี้ถามไว้บ้างก็ดี อยากเรียนรู้หลายๆ อย่างจากครัวของแม่ อยากเป็นฮานะที่ได้แม่ทิ้งสมุดจดสูตรอาหารไว้ให้

แต่จะว่าไป ก่อนแม่เสีย แม่ตำพริกไทยดำใส่โหลเอาไว้ แม่จะชอบตำพริกไทยเอง ไม่ซื้อสำเร็จรูป และไม่ใช่เครื่องปั่น แม่บอกว่ากลิ่นมันไม่เหมือนกับตำ เราก็เออออไปกับแกด้วย ไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอ จนแม่เสีย พริกไทยโหลนั้นยังเต็มอยู่เลย นานๆ จะแบ่งออกมาใช้บ้าง จนตอนนี้ก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย

คงเป็นรสชาติสุดท้ายที่แม่ทิ้งไว้ให้เราล่ะนะ



ปล. ลองไปดูคลิปชีวิตของฮานะและคุณพ่อ ตอนนี้น้องฮานะอายุสิบสองแล้ว ยังทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้เหมือนเดิม ได้เห็นภาพเคลื่อนไหวตอนคุณจิเอะมีชีวิตอยู่ ก็พอจะเข้าไปแล้วว่าที่หนังมันฟุ้งไปด้วยพลังบวกนั้นได้มาจากไหน




Anomalisa: เธอที่ไม่ซ้ำ

Anomalisa
(2015, Charlie Kaufman-Duke Johnson, A)


*สปอยล์แน่นอน

1.
กำลังจะเขียนถึงหนัง แต่เน็ตช้าเหลือเกิน เลยโทรเข้าไปหา Call Center สงสัยเป็นเพราะดึกแล้วเลยโทรติดง่าย ได้คุยกับคนไวหน่อย ไม่ต้องรอสายนาน

ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงเจื้อยแจ้ว เธอให้บริการตามมาตรฐานที่เทรนมาอย่างดี ถามคำถามที่เดาว่าคงเป็นไบเบิลแปะไว้ที่โต๊ะทำงานแล้วว่า ถ้าลูกค้าโทรมาให้ถามอันนี้ก่อน แล้วตามด้วยอันนี้ และอันนี้

เราแจ้งเธอไปว่าสองสามวันมานี้เน็ตช้ามาก เธอรับปากว่าจะช่วยตรวจสอบให้ คุณลูกค้ามีอะไรถามเพิ่มเติมอีกไหม ทั้งหมดนั้นเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีอารมณ์ เหมือนกำลังคุยกับระบบอัตโนมัติ ที่มันเป็นสคริปต์ไปทั้งหมด เราเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงปัญหาอินเตอร์เน็ตเรามันได้รับการแก้แล้วใช่มั้ย และเพราะเธอให้เราถาม เราก็เลยถามกลับไป ว่าแล้วมันจะยังไงต่อนะ เรื่องเน็ตเราเนี่ย

เฮ้ย เธอคนนั้นพูดเหมือนเดิม เป็นการพูดทวนซ้ำประโยคเดิม ตามสคริปต์ที่ปรินท์แปะไว้ที่โต๊ะ น้ำเสียงเจื้อยแจ้วไม่สื่ออารมณ์เหมือนเดิม

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกับมนุษย์ระบบอัตโนมัติ กูเล่นเน็ตด้วยความเร็วแบบพอเพียงแบบนี้ต่อไปก็ได้ แล้วก็วางสายไป

2.
เมื่อกี๊ไปดู Anomalisa (2015) มา Michael Stone (David Thewlis) ตัวเอกของเรื่อง เป็นนักเขียนหนังสือระดับเบสท์เซลเลอร์ชื่อ “How May I Help You Help Them?" คัมภีร์ที่ช่วยชีวิตคนทำงานบริการลูกค้า (Customer Service) ที่ใครอ่านแล้วเอาไปใช้ก็ได้ผล โด่งดังจนไมเคิลต้องบินจากแอลเอมาพูดในงานสัมนาที่ซินนิเนติ

Fregoli คือชื่อโรงแรมที่ไมเคิล เข้าพัก ทีแรกเห็นชื่อก็คิดว่าเป็นโรงแรมเชนหรูที่มีอยู่จริง แต่พอมาอ่าน Trivia หนัง เลยได้รู้ว่า จริงๆ มันเป็นชื่ออาการป่วยอย่างหนึ่ง ที่คนเป็นโรคนี้จะเห็นสิ่งรอบกายเหมือนกันไปหมด ทั้งหน้าตา ทั้งเสียง

มีตอนนึงที่ไมเคิลกล่าวในงานสัมนา เขาบอกว่า ลูกค้าก็เป็นมนุษย์ ที่มีความรู้สึก

ไม่แน่ใจว่าไมเคิลเป็นโรคนี้มานานแค่ไหน ตอนที่เขาเขียนหนังสือเขามองเห็นสิ่งรอบตัวด้วยหน้าและเสียงเดียวแบบนี้แล้วหรือยัง ในฝันร้าย เขาเห็นสำนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่มีพนักงานหน้าตาเดียวกัน นั่งเรียงแถวด้วยโต๊ะสำนักงานหน้าตาเหมือนกัน พวกเธอเหล่านั้นกำลังให้บริการลูกค้าทางโทรศัพท์

เหมือนอย่างคอลเซ็นเตอร์ที่เราเพิ่งโทรหาเมื่อกี๊รึเปล่า พวกเธอไม่ได้ป่วยเป็นโรค Fregoli แต่สคริปต์ที่แปะบนโต๊ะ ทำให้พวกเธอเห็นทุกคนที่โทรเข้ามาเป็นเสียงและหน้าเดียวกันหมด ที่จริงแล้วเธออาจจะอยากช่วยเรามากกว่านี้ก็ได้ แต่ความเห็นใจมากไปมันทำให้เสียเวลา จะแก้ปัญหาได้รึเปล่าก็ไม่รู้ และถ้าเธอใช้เวลากับสายเรามากเกินไป ระบบมันก็จะบันทึกไว้ พอถึงตอนประเมินผลการทำงาน เธออาจจะโดนหัวหน้าดุ

มันคงน่าเบื่อ ที่ต้องฟังเสียงคนโทรเข้ามาขอความช่วยเหลือซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน เสียงพวกนั้นแตกต่างไม่เคยซ้ำกัน แต่สำหรับเธอ นี่อาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อระดับโลก

เราคือความน่าเบื่อนั้นของเธอ

3.
ในความน่าเบื่อ ไมเคิลได้เจอกับ ลิซ่า คนเดียวที่หน้าตา และเสียงของเธอไม่เหมือนใคร ไอ้ความไม่เหมือนใครมันไม่ได้เกิดจากลิซาหรอก คนเราก็ไม่เหมือนกันทั้งนั้น แต่พอเราตกหลุมรักใคร เขาก็จะพิเศษขึ้นมาทันที

เมื่อเจอคนที่พิเศษ คนที่ไม่ซ้ำ ไมเคิลอยากจะใช้เวลาอยู่กับลิซ่าทั้งคืน เธอร้องเพลงให้เขาฟัง เธอพูดไม่หยุด และเขาก็ไม่อยากให้เธอหยุดพูด เขาให้เธอพูดแม้ตอนที่ร่วมรักกัน เป็นฉากเซ็กซ์ในหนังอนิเมชันที่ดีจัง มีความเย้ายวนและอวลไปด้วยความโรแมนติก มันไม่ใช้เซ็กที่เร่าร้อน ดูแค่สังขารของสองคนในซีนก็ไม่น่าจะไปเกิดอารมณ์อะไรได้ แต่มันเกิดอารมณ์ว่ะ เรารู้สึกถึงความรักในค่ำคืนนั้นได้

ก็ควรจะรู้สึกเยอะล่ะ เพราะผู้กำกับร่วม Duke Johnson ใช้เวลาอนิเมทซีนนั้นอยู่หกเดือน (ยอมก็ได้)

ทุกอย่างมันดีหมด ดีจนไมเคิลอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลิซ่า-ผู้หญิงที่ไม่เหมือนใคร เธออาจจะกินมูมมาม พูดตอนเคี้ยว และเอาส้อมกระทบฟันหน้า อันเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบอยู่บ้าง แต่เธอก็ยินดีจะปรับให้ ขอแค่เธอยังอยู่ข้างๆ และพูดคุยกับเขาด้วยเสียงที่ไพเราะที่สุด...

เสียงนั้นหายไปแล้ว

ลิซ่ากลายเป็นทุกคนในการรับรู้ของไมเคิลไปแล้ว เสียงนั้นหายไปแล้ว

หรือว่าเสียงไพเราะคือความตื่นเต้นชั่วข้ามคืน แต่พอเราเริ่มจะทำให้มันเข้ารูปเข้ารอย พามันเข้าระบบแบบแผน เสน่ห์ที่เคยทำให้เราหลงรักก็หายไป

แล้วยังมีบรรยากาศประหลาดๆ อีกนับไม่ถ้วน หรือการทับซ้อนกันมัวๆ ของลิซ่า กับตุ๊กตาญี่ปุ่น ที่มีรอยแผลเป็นตรงจุดเดียวกัน ชื่อลิซ่าที่เธอเองก็บอกว่ามันมีความหมายในภาษาญี่ปุ่น และของเหลวที่ไหลออกมาจากตุ๊กตาตัวนั้น มันมาจากไหน

4.
ออกจากโรงมาด้วยคำถามในใจหลายอย่าง แต่อย่างไรก็ดี เราชอบประสบการณ์ที่ได้จากการดูอนิเมชันเรื่องนี้ ตอนเดินกลับบ้านก็ลองคิดดูว่า ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเหนื่อยขยับตุ๊กตาเป็นสต็อปโมชันด้วยวะ ใช้คนเล่าเอาก็ได้รึเปล่า จนถึงตอนเขียนนี่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้นะ แค่คิดว่าหนังมันพยายามอนิเมทภาพให้โคตรสมจริง แต่ยิ่งทำให้จริงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไม่จริง บรรยากาศในหนังมันเลยแปลกประหลาด นัวร์ๆ ลอยๆ เหมาะสมแล้วที่จะเล่าอะไรแบบนี้

ชอบที่มันเล่าเรื่องความสัมพันธ์ ผ่านความเป็นปัจเจกมากๆ คือทั้งหมดทั้งมวลมันอยู่ในสายตาและสมองของไมเคิลหมดเลย สุดท้ายแล้วในความสัมพันธ์ ตัวเราที่ว่าดี ก็ต้องถูกประมวลผลคัดกรองผ่านสายตาของอีกฝ่ายอยู่ดี ในผู้คนที่เหมือนกันดาษดื่น เราที่ธรรมดาๆ อาจจะเป็นคนพิเศษ เป็นแสงสว่างของใครซักคนเข้าให้ก็ได้ เป็นเราที่ไม่ซ้ำใคร ได้มีเวลาแสนวิเศษร่วมกัน

แค่ช่วงเวลานั้นอาจจะไม่ได้อยู่ตลอดไป...


The Act of Killing: เลวก็บอกว่าเลว

The Act of Killing 
(2012, Joshua Oppenheimer, T__T)

 

เคยโหลดเรื่องนี้มา ดูไปได้สิบนาทีก็ยอมแพ้ แต่พอเห็นมาเข้าไทยรอบนี้ มีซับไทยพร้อม แถมเป็น Director's cut ด้วย เอาวะ ดูในโรงก็ได้ คราวนี้ดูจบแน่นอน เป็นการบังคับตัวเองไปในตัว

แต่อีซัซซซซซ ทรมานชิบหาย เป็นเกือบสามชั่วโมงที่อึดอัด หดหู่ ปั่นป่วน ดูไปก็สงสัยว่าหนังแม่งเรทอะไรวะ จนพอออกจากโรงมาก็เสิร์ชเจอว่าเป็น น18 โอย กูจะ 29 แล้วยังแทบจะไม่ไหว Visual แม่งโหดสัสๆ จะตายเอา

พอหนังมันพาเราลงไปสำรวจลุงอันวาร์จนหมดไส้ พาไปจนถึงจุดที่แกระเบิดอารมณ์และยอมแล้ว มันก็มีวูบที่เรามองเห็นแกเป็นมนุษย์ที่บกพร่อง หลงผิดคนนึง จนแกแก่เฒ่าและเข้าใจสิ่งที่ทำไปมากขึ้นแล้ว แม่ง กูต้องเห็นใจฆาตกร กูต้องสงสารคนที่ฆ่าคนเป็นพัน หนังมันท้าทายเราแบบนี้ แต่ยังไงล่ะ อย่างน้อยความผิดมันก็หลอกหลอนลุงแกในฝัน และแกเองก็พร่ำพูดเรื่องกรรมไปพร้อมๆ กับการยืนยันว่าสิ่งที่แกทำมันไม่ผิด มันทำให้เห็นว่าแกเป็นมนุษย์ที่ยังมีร้อนมีเย็น อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้อะไรขึ้นมาบ้าง (เมื่อเทียบกับตัวละครที่พูดอย่างหน้าตาเฉยถึงการข่มขืนเหยื่อ)

แต่ที่น่ากลัวกว่าคน คือระบอบที่ครอบเราอยู่ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้สะทกสะท้านหรือรู้สึกผิดใด มันยังคงดำเนินไป และอาจจเข้มแข็งไม่ต่างจากเดิม เพียงแค่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมก็เท่านั้น ความไม่ละอายเมื่อไปผสมรวมกับอำนาจ ย่อมก่อให้เกิดอะไรก็ได้ และที่น่าประหลาดใจ (แต่ชอบนะ) คือการที่ทุกคนพูดเรื่องที่ผิดแบบหน้าตาเฉย พูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา ยอมรับว่ามันมีอยู่จริง

คือไม่รู้จริงๆ ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่ชอบที่ไม่พยายามเป็นคนดี คือเราหาแบบนี้ดูในบ้านเราไม่ได้ ให้เราพูดว่าเราเคยฆ่าแมลงสาปโดยไม่ออกตัว หรือฆ่าใน in the name of XXX เราก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่นี่เรากำลังพูดถึงชีวิตคน การใส่ร้าย การคอรัปชัน ที่พูดกันเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งก็จริง มันเป็นเรื่องปกติ ผู้นำตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ไปจนถึงรัฐมนตรี ล้วนมาจากกองกำลังอันธพาล ที่ไม่ได้แอ๊บใส แต่กลับเปิดหน้าสนับสนุนกันเต็มที่ เออ จริงใจดี จริงใจมากจนอยากทำความเข้าใจสังคมอินโดฯ​ อยากรู้จักมากกว่านี้เลยว่าเราพูดเรื่องแบบนี้กันตรงๆ ได้เลยเหรอ ดีมาก อิจฉา ไม่ต้องสร้างภาพ ไม่ต้องบิดและเป็นคนดีตลอดเวลา จะชั่วก็เปิดหน้าชั่วกันไปเลย เชี่ย แก๊งสเตอร์ ประทับใจ

เมื่อวันก่อนเพิ่งได้อ่านบทความอันนึงว่าด้วยหนังมาเลเซีย ที่มีฉากเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ในไทย ไปอยู่ในหนังแบบภาพชัด อันเซ็นฯ​ แล้วก็มาได้ดู The Act of killing อีก ยิ่งอิจฉาว่า อย่างน้อยเหตุการณ์ที่เป็นตราบาปของประเทศมันก็ได้ถูกเล่า ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง และเปิดหน้าคุยกันแบบตรงๆ เลวก็บอกว่าเลว กระหายเลือดก็บอก ไปให้ถึงแก่นของความเลวเลยว่าทำไปเพราะอะไร เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นมันถูก เพราะสะใจ หรืออะไรก็ว่าไป แค่พูดกันตรงๆ ไม่ต้องมาบิดเบือน หรือขุดหลุมกลบฝัง เพราะยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว มีคนเห็น มีคนกระเทือนกระทบจากสิ่งนั้นดำรงอยู่เต็มไปหมด

ยอมรับว่ามีการเมาเสียงสนทนาจนเคลิ้มหลับไปช่วงนึง เพราะมึงพูดกันจนกูเหนื่อยจะอ่านซับ แต่พอตื่นได้ก็ตื่นยาว โดยเฉพาะช่วงครึ่งชั่วโมงท้ายที่หนักแบบเหมือนโดนทุบให้ทรมาน สงสารเหยื่อ สงสารตัวละครที่กำลังกายไปเหยื่อ สงสารที่เคยเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงแบบไม่มีการสั่งคัทเหมือนที่ทำได้ในหนัง และสงสารตัวเองว่ากูมาทำเหี้ยอะไรที่นี่ ทรมานสัสๆ แต่จะรู้สึกถึงขั้นนี้ต้องดูในโรงหนังจริงๆ ว่ะ ความมืดและเสียงทำให้เราจะตายไปกับหนังได้จริงๆ

มีภาพนึงที่ถูกทำซ้ำๆ คือการเอาผ้าดำผูกตาเหยื่อ ตอนดูก็คิดถึงจ่านิว 555 นึกถึงแกตอนที่โดนอุ้ม เข้าใจเลยว่ามันน่ากลัวมาก การอยู่กับคนแปลกหน้าที่มีอำนาจเหนือกว่าโดยที่เรามองไม่เห็นอะไรเลย เป็นภาวะที่โคตรไม่ดี เห็นใจแกมากขึ้นก็ตอนนั้น แล้วพอออกจากโรง ก็เจอจ่านิวออกมาเหมือนกัน เชี่ยเอ๊ย เพิ่งนึกถึงอยู่หยกๆ 555

45 Years: กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง

45 Years
(2015, Andrew Haigh, A)



ลำพังแค่พลอทหนังมันไม่มีอะไรเลยนะ แต่หนังมันดีจนดีมากได้เพราะการแสดงล้วนๆ เลย ด้วยพลอทแล้วมันเหมือนเนื้อหาในเพลงร็อคไทยที่พูดเรื่องคนรักเก่ากับคนที่อยู่ตรงนี้ แล้วพี่นักร้องก็จัดการฟูมฟายโหยหวนไปกับความเศร้านั้น หนังมันก็เล่าเรื่องเดียวกันแบบนั้นแหละ แต่ไม่เว้ย หนังมันแกร่ง ไม่ฟูมฟาย ไม่เพ้อเจ้อ เพราะจะมาเพ้อเจ้าฟูมฟายเวิ่นเว้ออะไรนักหนา อายุหกเจ็ดสิบกันแล้ว หมดเวลาจะไปทำแบบนั้น ภาพในหนังมันเลยจริงมาก สิ่งเดียวที่ทำให้เราอยู่กับหนังได้ ก็คือการแสดงของทุกตัวละครในนั้น ซากปรักหักพังทั้งหลายมันรวมอยู่ในดวงตาของป้า Charlotte Rampling หมดแล้ว ไม่ต้องเล่าให้ใหญ่ ไม่ต้องโหมประโคมเพลงอะไรแล้ว จบในดวงตา Smoke gets in your eyes ของแท้

เคยนึกภาพตัวเองและผัวตอนแก่ และยังคุยกันเล่นๆ ว่าตอนนั้นเราจะเป็นยังไง รวมๆ แล้วภาพที่คิดคือเราคงยังจิกกัดด่ากันแบบทุกวันนี้อยู่ ความซาบซ่าคงลดลง เป็นตัวของตัวเองกันมากขึ้น ร่างกายเราคงเหี่ยวเฉา สภาพที่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยดี ถึงตอนนั้นมันคงยิ่งแย่ เรื่องที่เคยทะเลาะกันวันนี้ ถึงตอนนั้นคงไม่ทะเลาะแล้ว แต่คงมีเรื่องใหม่ๆ ให้ต้องขัดใจกันอีกจนได้ ชีวิตคู่มันมีรายละเอียดมากกว่าแค่ความรักนะ มันเป็นศิลปะเฉพาะคู่ แต่ก่อนก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ตอนนี้พอจะเห็นภาพชัดขึ้นละ

เวลา 45 ปีของชีวิตคู่มันนานนะ สิบปีแรกคงเต็มไปด้วยพลัง ยี่สิบปีเริ่มเหนื่อย สามสิบปีเริ่มวาง สี่สิบปีคงอยากพักแล้ว มันคงนิ่งและรอวันตายจากกัน นานจนทุกวันก่อนนอนคงอยากภาวนาให้พรุ่งนี้มีแต่ความราบเรียบเถอะนะ แต่พอมารู้เรื่องที่ไม่เคยรู้เลยตลอดสี่สิบกว่าปี มันเลยเป็นช่วงเวลาแสนกระอักกระอ่วน ความผูกพันมันมีอยู่ ความรักก็ยังเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือความไม่เชื่อใจ ที่เสือกมาปรากฏเอาตอนโค้งสุดท้ายของความสัมพันธ์แล้ว กลับตัวก็ไม่ได้ แต่จะอยู่ร่วมกันให้ราบเรียบ เย็นใจ เหมือนที่ผ่านมาก็ไม่รู้จะทำยังไง ดูเหมือนเราจะเข้าใจป้า แต่เอาเข้าจริงเราจะไม่เข้าใจหรอก เพิ่งสองปีเองมึง มึงไม่เข้าใจป้าหรอก

เราว่าทุกความสัมพันธ์นั้นมีความลับ ต่อให้บอกว่าผัวเมียควรเล่าทุกเรื่องให้กันและกันฟังได้ ควรแบ่งปันทุกข์สุขต่อกันได้ นั่นก็จริงนะ แต่กับบางเรื่อง น่าจะดีกว่าที่มันจะอยู่กับเราคนเดียว และภาวนาให้มันอยู่แค่เราคนเดียว ไม่มีวันแพร่งพรายออกไป แต่พอความลับนั้นอยู่กับเรา และเรายังรู้สึกกับมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หวงแหนทะนุถนอมความลับนั้น จนถึงวันที่เราคิดว่าเราจัดการกับมันได้ กลายเป็นความไม่ลับ นั่นแหละถึงเพิ่งรู้ตัวเองว่าเราอ่อนแอเหลือเกิน ไอ้ความลับมันเล่นงานเราซะแล้ว เล่นงานอย่างหนักตอนที่ร่างกายและหัวใจเรากร่อนแก่ อยากพักผ่อน บาดแผลนี้จึงเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง

อีกอย่างคือคนเราก็เลือกจะเชื่อในสิ่งที่เราอยากจะเชื่อ โดยธรรมชาติมนุษย์คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มองโลกในแง่ร้าย สลัดความคิดวนเวียนที่คอยทำร้ายตัวเราออกไปไม่ได้ เราเลยต้องยิ่งขุดลงไปให้ลึก จมไปกับมัน บิดให้มันใกล้เคียงกับที่เราอยากให้มันเป็น นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วเศร้า จากนี้จะมีแต่ความเศร้า จากนี้โลกของฉันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เราออกจากโรงมาด้วยความรู้สึกคลุมเครือ เหมือนใครเอากระดาษไขมาห่อหัว คนดูเองก็โดนทำร้ายไม่ต่างจากมิสเตอร์แอนด์มิซซิสเมอร์เซอร์ เราเห็นทุกอย่างแต่เราไม่เข้าใจ เหมือนที่ตัวละครเองก็ยังไม่เข้าใจ รู้แค่ว่ามันเศร้าและสับสน ยังดีที่เราออกจากโรงมาแล้วก็จบกันนะ การเฝ้ามองมันดีอย่างนี้ แต่กับสองลุงป้า หลังงานเลี้ยงคืนนั้น คงมีอีกหลายเรื่องให้ต้องเศร้า ความรักความผูกพันที่จริงนั้นแสนจะโหดร้าย ลุงป้าคงคิดในใจว่าพวกกูแก่จะตายห่าแล้วทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ พูดจบป้าเคทก็เดินไปเผาห้องใต้หลังคา เปิดตำนานอีป้ามหาโหด จบหักมุม

Steve Jobs: พ่อก็คือพ่อ

Steve Jobs
(2015, Danny Boyle, A)



พ่อก็คือพ่อ หมายถึงสตีฟ จ๊อบส์ เหรอ เปล่าเลย แอรอน ซอร์กิ้น พ่อทุกสถาบัน บทแบบนี้แอรอน ซอร์กิ้นทำได้คนเดียวเท่านั้นแหละ บีก็ทำไม่ได้ คริสเหรอ อย่าหวังเลย นั่งคิดว่าถ้ากูต้องมาเขียนอะไรแบบนี้ น่าจะขาดใจตายไปตั้งแต่ขึ้นหน้าที่สิบแล้ว เพราะมันเค้น อีเหี้ย คนเหี้ยอะไร จะขึ้นพรีเซนท์หน้าเวทีแต่ต้องมาไดอาล็อกดราม่าทั้งชีวิตกับตัวละครนู้นนี้ เป็นวรรคเป็นเวร แล้วคุยกันธรรมดาก็ไม่ได้ อีบ้า จะเชือดเฉือน เค้นห่าอะไรกันนักหนา พอ พอแล้ว กูเหนื่อย (ดูเป็นคำด่า แต่จริงๆ คือชมหมดเลย)

เอาจริงตอนต้นมีเคลิ้มๆ แล้วเผลอหลับไปนิดนึงนะ เพราะเมาไดอาล็อก แม่งพูดจนกูจับต้นชนปลายไม่ถูกละ แต่พอตั้งสติได้ ทีนี้นั่งไม่ติดเบาะละ ทั้งที่หนังแม่งมีอาวุธอยู่แค่อย่างเดียวเลย คือบทพูด ชอบการเลือกใช้วิธีนี้ในการเล่าหนัง เข้าใจเลยนะว่าคงอยากหาทางใหม่ๆ เล่าชีวประวัติคน ไม่งั้นมันก็ธรรมดา พอมาเลือกวิธีนี้ โอเค มันจะมีความรำคาญนิดหน่อย ว่าโอ๊ย แม่งจะต้องมาเกิดตรงนี้ทุกเรื่องเลยแหละ ผ่านไปสิบห้าปีมึงไม่โทรคุยกันบ้างเลยอีห่า ต้องรอมาคุยกันหลังเวทีเนี่ย อีเคทนี่ก็เร่งจัง นับเวลาถอยหลังให้อยู่นั่น ซึ่งเออ เป็นอีกสิ่งที่ชอบ พอมีตัวละครที่มาคอยกำกับเวลา มาคั่น มาขัด มันยิ่งมันส์ โหดเหี้ยมยิ่งกว่าฉากระเบิดตูมๆ ในหนัง ไมเคิล เบย์

ฟาสเบนเดอร์โคตรดี ไม่เคยรู้สึกว่าสตีฟ จ๊อบส์ จะอึ้บ ขนาดนี้ แต่พอเป็นฟาสเบนเดอร์ปุ๊บ ก็อยากให้สตีฟ จ๊อบส์ เวอร์ชันนี้ไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ ไม่ต้องทำแล้วคอมพิวเตอร์ ปลอม เปลือก แต่เอาดีๆ คือถ้าตัดความอึ้บขอบฟาสเบนเดอร์ไป เราก็ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นฟาสเบนเดอร์ ชอบที่สุดคือตอนที่แกแสดงในโหมดพ่อ มันลึกลับซับซ้อนเกินจะเอ่ย แล้วแกเล่นดี ซีนบนดาดฟ้านี่เกือบร้องละ ทั้งที่บาดแผลจากความดุเดือดยังเจ็บจี๊ดๆ อยู่ แต่พอเจอโหมดพ่อลูกกูตายเลย

เคท วินสเลต ต้องเล่นอะไรแบบนี้บ้าง และเล่นแบบนี้ดีแล้ว เป็นผู้หญิงไม่สวยแต่เก่งแบบนี้เหมาะกับเจ๊ที่สุดแล้ว แม่งไปดู The Dressmaker มาแล้วโคตรขัดใจ เคทก็เล่นดี แต่ดูยังไงก็ไม่เชื่อ ไม่เหมาะกับคาแรกเตอร์ ยิ่งพอเข้าฉากกับ Liam Hemsworth ยิ่งเหมือนแม่ลูก เคทดูไปอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่หนังสนุกนะ มัน ผู้หญิงดี อีดอกกก

แล้วพอเจอ ซาราห์ สนู้ก อีเกอร์ทรูดใน Dressmaker มารียูเนียนกับทิลลี่ ที่เรื่องนี้ก็เซอร์เป็นป้า เลยอิ่มใจนิดนึง เป็นคนชอบการรียูเนียนของตัวละครในต่างกรรมต่างวาระ แค่นี้แหละ 555

ถ้าไดอาล็อกในหนังเรื่องนี้เป็นลูกกระสุน คนดูก็โดนยิงจนพรุน แล้วพอไปเจอวิธีของ แดนนี บอยล์ ที่เล่ามันออกมา ทำให้เราตื่นเต้นกับบทสนทนา ยากชิบหาย แต่แกทำได้ และมันสนุกจริงๆ

2016 Millennial Survey: ถึงเวลาที่องค์กรต้องเอาชนะใจ "มนุษย์มิลเลนเนียล"

The 2016 Deloitte Millennial Survey
Winning over the next generation of leaders


(Credit: Deloitte)

Millennial Survey เป็นการสำรวจที่ดีลอยท์ทำต่อเนื่องกันมาทุกปีฉบับนี้เป็นฉบับที่ห้าแล้ว ตั้งแต่เข้าบริษัทนี้มาก็ได้อ่านไปสามฉบับได้มั้ง พบว่ามันสนุกและใกล้ตัวดี ไม่สิ เกี่ยวกับตัวเองเลยแหละ แถมในบางยามที่ต้องพยายามทำความเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ แล้วไม่รู้จะหา insight จากไหน ก็จะได้ผลสำรวจนี้คอยอธิบายให้เข้าใจน้องๆ มากขึ้น เพราะถึงแม้ อะแฮ่ม เราก็ยังสามารถจัดอยู่ในกลุ่มมิลเลนเนียลได้ แต่ก็เป็นมิลเลนเนียลชั้นสูง (อ๋อ ไฮโซ ชนชั้นสูง / ชั้นสูงอายุนี่แหละมึง) อยู่ด้านบนสุดของสังคมมิลเลนเนียล มันเลยเป็นไปได้ว่าพี่ข้างบนกับน้องข้างล่าง แม้จะมีค่านิยมหรือวิธีคิดแบบกว้างคล้ายๆ กัน แต่ในรายละเอียด หรือบางแง่มุม ยังไงก็แตกต่างกันแน่นอนอยู่แล้ว


ปีนี้พอมันออกก็เลยรีบอ่านอย่างตั้งใจ ช่วงนี้อินเรื่องพวกนี้ด้วยมั้ง พออ่านจบแล้วเลยอยากทำโน๊ตย่อเก็บไว้อ่าน และเผื่อใครสนใจเรื่องนี้จะเข้ามาอ่านแบบย่อๆ เบาๆ จับประเด็นได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นน้ำจิ้มไปก่อน ก่อนที่จะไปอ่านฉบับเต็มเพื่อทำความเข้าใจ และใช้ข้อมูลในเชิงอ้างอิง บล็อกเรานี่เอาไปอ้างอิงอะไรไม่ได้เลยนะ แปลถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่าได้ไปอ้างเชียว


อันนี้คือสรุปมาตามความเข้าใจของตัวเองจริงๆ และมีเขียนความคิดเห็นตัวเองเข้าไปด้วย ดังนั้นมันเป็นความเห็นของเรานะ ไม่ใช่ของผลสำรวจเขา อ่านอันนี้พอเป็นน้ำจิ้มไปก่อน แล้วถ้าสนใจก็อ่านเซอร์เวย์ตัวเต็มได้ค่ะ สนุกและได้ประโยชน์จริงอ่ะไป

ออกตัวมายาวเกินไปแล้ว จะขอเข้าเรื่อง ณ บัดนี้

_________________________

Millennial 
กำลังจะครองโลก
จากข้อมูลพบว่า กลุ่ม Millennial นั้นกำลังเป็นตลาดแรงงานใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ในประเทศอื่นก็คงคล้ายๆ กัน ก็วัยหนุ่มสาวน่ะแหละ ก็เป็นวัยทำงานนั้นถูกแล้ว แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ตัวเลขของกลุ่ม Millennial ที่อยู่ในตำแหน่ง Senior position นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เลยจะมาพูดไม่ได้แล้วว่า หนุ่มสาวพวกนี้คือผู้นำในวันข้างหน้า เพราะว่าเขาเป็นตั้งแต่วันนี้แล้วโว้ย

(Credit: Deloitte)
กลุ่มเป้าหมายในการสำรวจ

Millennial กว่า 7,700 คน จาก 29 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วมตอบแบบสอบถามนี้ ทุกคนเกิดหลังปี 1982 (พ.ศ.2525) สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย เป็นลูกจ้างเต็มเวลา ส่วนใหญ่ทำงานในองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ 




(Credit: Deloitte)

งาน Survey นี้เก็บตัวอย่างกลุ่ม Millennial จากสองกลุ่มประเทศ กลุ่มแรกคือ Emerging Markets 4,300 ตัวอย่าง ประเทศในกลุ่มนี้ก็เช่น บราซิล, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, รัสเซีย, เกาหลีใต้ และไทยเราก็อยู่ในกลุ่มนี้นะ แค่ไปซ่อนอยู่ในกลุ่ม MTS คือ Malaysia - Singapore - Thailand ย่อยเข้าไปอีกกกก




ส่วนอีกกลุ่มคือ Developed Markets จำนวนที่เขาศึกษา 3,392 ตัวอย่าง ประเทศพวกนี้เราคุ้นอยู่แล้วแหละ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ อเมริกา โดยมีญี่ปุ่นเป็นเอเชียเพียงประเทศเดียวที่อยู่ในกลุ่มนี้





Part1: ความจงรักภักดีต่อองค์กร



(Credit: Deloitte)

จากการสำรวจพบว่า 25% ของมิลเลนเนียล นั้นเล็งไว้แล้วว่าจะลาออกจากที่ทำงานเดิมแน่นอน ภายในปีหน้า 44% บอกว่าให้อีกสองปีกูไปแน่นอน และอีก 66% บอกว่า ภายในปี 2020 จะไม่เห็นกูอยู่ที่ออฟฟิศเดิมแน่นอน ป่านนั้นถ้าไม่ย้ายงานไปแล้ว ก็แต่งงานมีลูก หรือไม่ก็ออกบวช (หลังๆ นี่เติมเองหมดเลย)


เลยทำให้เห็นว่า Loyalty หรือความภักดีต่อองค์กร ของชาวมิลเลนเนียลนั้นโคตรจะไม่มี ชีวิตนี้ขับเคลื่อนด้วยฟีลลิ่ง แต่ฟิลลิ่งของพวกเรา มันกำลังไปส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจ และการจัดการด้านทรัพยากรบุคคลเลยนะ คิดดูว่าอีก 5 ปี จะมีพนักงานมิลเลนเนียลลาออกไปถึง 66% นี่มันเป็นตัวเลขที่เยอะไม่ใช่เล่นนะโว้ย


ที่น่าสนใจคือ เปอร์เซ็นต์ของคนที่คิดจะออกภายในปี 2020 ในประเทศกลุ่ม Emerging Market นั้นสูงกว่ากลุ่ม Developed Market อย่างชัดเจน เช่น เบลเยียม, สเปน และญี่ปุ่น เปอร์เซ็นอยู่ที่ 50 นิดๆ เท่านั้น (ของคนที่คิดจะลาออก)

แล้วพวกที่ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ หรือเป็นผู้บริหารแล้วล่ะ คงไม่อยากออกหรอกมั้ง โนว ผิดเลยจ้ะ 12% ของเหล่า Division Head / Dept Head บอกว่ากูออกแน่ และ 7% ของกลุ่มที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นบอร์ดบริษัท ก็บอกว่า พร้อมจะไปทุกเมื่อเหมือนกัน

แต่ถึงอย่างนั้น พวกมิลเลนเนียลที่ตอนนี้มีผัวเมียลูกเต้า ก็มีแนวโน้มจะ Loyalty กับองค์กรมากว่าพวกที่ยังโสด ข้อนี้ไม่น่าแปลกใจ ใครๆ ก็ต้องการความมั่นคงเมื่อมีครอบครัวแล้ว



ความภักดีที่หย่อนคล้อย อาจเกิดจากอาการงอน ว่าองค์กรไม่สนใจพวกเขารึเปล่า

เราว่ามิลเลนเนียลมีความมั่นใจในตัวเองประมาณนึงล่ะ ดังนั้น มันก็เป็นไปได้ที่เราจะงอนองค์กร ไม่ใช่การงอนแบบคนรุ่นที่แล้ว ทำนองว่า "ทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่เห็นความดี" อะไรแบบนั้นนะ แต่เราจะงอนแบบ "ฉันยังไม่ได้รับการพัฒนา และ Groom เราไปสู่การเป็นผู้นำในอนาคต จากองค์กรดีพอ" นี่ คิดแบบโคตรมั่นใจในตัวเองใช่มั้ยล่ะ 



จากผลสำรวจบอกว่า แม้จะมีชาวมิลเลนเนียลที่ก้าวไปถึงระดับบริหารแล้วก็จริง แต่กว่า 63% (ใน MTS ตัวเลขสูงถึง 70% เลยด้วยซ้ำ) กลับตัดพ้อว่า "พวกเขาไม่ได้รับการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำอย่างเพียงพอ"



จะเห็นว่ามิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับ Leadership Skill มาก ก็อย่างที่ว่าแหละ เป็นคนรุ่นที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เหิมพอประมาณ พวกเขา (จริงๆ ใช้คำว่าพวกเราก็ได้นะ กูก็มิลเลนเนียลโว้ย) มองว่า Leadership Skill นั้นสำคัญต่อการประสบความสำเร็จของธุรกิจ และในมุมมองของมิลเลนเนียล พวกเขายังไม่รู้สึกว่าองค์กรได้พยายามมากพอที่จะสร้างผู้บริหาร/ผู้นำรุ่นใหม่ ขึ้นมาทดแทนรุ่นเก่าที่กำลังจะผลัดใบ

ในรายงานยังบอกต่อว่า จุดที่น่าสนใจคือ กว่า 71% ของคนที่บอกว่าจะลาออกภายในอีกสองปีนั้นรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับการพัฒนา อย่างเพียงพอ พูดง่ายๆ คือคงน้อยใจว่าอยู่ต่อไปก็คงไม่ก้าวหน้า แต่กับคนที่บอกว่าจะอยู่ถึง 2020 นั้นมีหลายอย่างที่บ่งชี้ว่า เหตุที่อยู่เป็นเพราะพวกเขาค่อนข้างพึงพอใจ หรือมองเห็นแนวทางในด้านดี นั่นคือ

     - องค์กรมีโปรแกรมสำหรับพัฒนาพนักงานที่มี Potential จะเป็น Leader ในอนาคต
     - องค์กรเปิดกว้างให้พนักงานรุ่นใหม่ๆ ได้ตั้งเป้าหมายไปเป็นผู้บริหารได้ ไม่หาว่าทะเยอทะยานเกินตัว



แต่กับคนที่มีแนวโน้มจะลาออกโดยไวแบบกูไม่ไหวแล้ว ก็จะบอกว่า

     - รู้สึกว่าทักษะและความสามารถที่มีนั้นถูกมองข้าม ทำให้ไม่ได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ และโชว์ด้าน Leadership ของตัวเองซักที
     - นอกจากจะโดนมองข้ามแล้วก็ยังไม่มีใครอยากมาพัฒนาเราด้วย น้อยใจ กูไปละนะ

Part 2: มองคนละมุมเรื่อง Sustainability 


ไม่ๆ มิลเลนเนียลไม่ได้มีหัวใจออแกนิกเกินร้อย ถึงขั้นว่าจะไม่มุ่งแสวงหากำไร แล้วเดินหน้าสู่ความพอเพียงอะไรแบบนั้น พวกเรายังมองว่าการทำธุรกิจยังไงก็ต้องมีผลกำไร และวัดผลจาก Financial Performance น่ะถูกแล้ว แต่แค่สองอย่างนั้น มันไม่พอหรอกนะ ธุรกิจที่ดี และที่พวกเขาจะภูมิใจที่ได้ร่วมงานด้วย นั้นจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม และถ้าเป็นไปได้ ธุรกิจควรก่อให้เกิด Impact ในด้านที่ดี ต่อสังคมในวงกว้าง


น่าจะเป็นเพราะมิลเลนเนียลโตมากับโลกที่มีอินเตอร์เน็ต โลกที่แคบเข้าหากัน และการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องที่ง่ายและฟรี เลยทำให้กลุ่มมินเลนเนียลใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น เป็นเหมือนงานฝิ่นที่ไม่เกี่ยวกับงานประจำ เป็นพาร์ทปัจเจกที่เราออกไปทำเพื่อเติมเต็มความภูมิใจในตัวเอง เพราะแบบนั้น พออินหนักๆ เข้า เลยมีแนวโน้มที่มิลเลนเนียลจะตั้งคำถามกลับไปที่ธุรกิจ ว่าทำไมไม่ทำ หรือถ้าทำ ทำไมไม่ทำแบบใหม่ๆ แบบที่ไม่ใช่การกุศล หรือ CSR ในคำจำกัดความเดิม แต่เป็นอะไรที่กว้างกว่านั้น ยั่งยืนกว่านั้น


นอกจากมุมของสังคม มิลเลนเนียลยังมองถึงวิธีที่ธุรกิจดูแลคนด้วย 6 จาก 10 ของกลุ่มนี้เชื่อว่า ความสำเร็จของธุรกิจต้องมองจากคุณภาพของสินค้าและบริการของบริษัท, ความพึงพอใจของพนักงาน และลูกค้า นวัตกรรมและความมีประสิทธิภาพของสินค้าและบริการก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้มิลเลนเนียลพอใจในธุรกิจได้


ว่าง่ายๆ คือ ไม่ใช่ว่าจะมาผลิตแบบประหยัดต้นทุน เพื่อสร้างกำไรในบัญชีให้มากที่สุด แต่ละเลยคุณภาพของสินค้า ละเลยความพอใจของคนที่ทำงาน และไม่สร้างอะไรใหม่ๆ ย่ำซ้ำรอยเดิม กำไรที่เหลือมาแบบนั้น มิลเลนเนียลก็ไม่ต้องการ!



(พวกมึงนี่อุดมการณ์สูงจริงๆ /อ้อ กูก็ด้วย)



(Credit: Deloitte)


ความสำเร็จที่ยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นอันดับแรก

คำถามข้อหนึ่งในเซอร์เวย์ถามว่า "What are the most important values a business should follow if it is to have long-term success" มิลเลนเนียลตอบว่า ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับพนักงานในการสร้าง Trust และ Integrity ในตัวพวกเขา คงคล้ายๆ กับการสร้างชาติและ พื้นฐานมันก็ต้องมาจากคน ถ้าคนในองค์กรมีศีลเสมอกัน มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน มันก็ตัดความกังวลใจไปได้หนึ่งเปลาะ ธุรกิจจะได้เอาเวลาไปหาทางวางแผนมุ่งสู่เป้าหมาย 



มีความเห็นของคนนึง ที่ตอบคำถามด้านบนเอาไว้ ที่เราว่าสรุปเรื่องนี้ได้ดี ดังจะยกมาดื้อๆ เลย ไม่แปลด้วย


"Ensuring employees feel comfortable - that is a successful company; where people are free to perform their tasks and duties regardless of time and space"



ไม่อยากจะขัดใจตัวเอง

อย่างที่บอกว่ามิลเลนเนียลนั้นมีอุดมการณ์ค่อนข้างชัดเจน จากการสำรวจจึงพบว่า มิลเลนเนียลจะเลือกทำงานกับองค์กรที่มีค่านิยมสอดคล้องกับค่านิยมและเป้า หมายส่วนตัวของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น 49% ของพนักงานปกติ กับ 61% ของพนักงานระดับอาวุโส ที่เป็นมิลเลนเนียล เลือกที่จะปฏิเสธ หรือเลี่ยงจะไม่ทำบาง assignment ถ้าพวกเขาเห็นว่ามันขัดแย้งกับค่านิยมข้างในของตัวเอง ทำไปมันก็ฝืนใจ ขัดใจ อึดอัดใจ อกจะแตกตาย ไม่ทำโว้ย (อีสัส แล้วใครจะทำ - เจ้านายกล่าว)

มั่นใจเหลือเกินนะพวกแก

มีคำถามหนึ่ง ถามว่า "อะไรคือปัจจัยสำคัญ ที่มีผลเป็นอย่างยิ่ง ต่อการตัดสินใจเรื่องใดๆ ในการทำงาน" สิ่งที่มาเป็นอันดับหนึ่งที่มิลเลนเนียลตอบ คือ "ค่านิยมและความเชื่อส่วนตัว" รองลงมาที่พอๆ กันคือ อิมแพ็คต่อสังคมและลูกค้า และ เป้าหมายทางอาชีพที่วางไว้ ทั้งหมดนี้คือมึงไม่ได้คิดถึงบริษัทเลยเว้ย คิดถึงตัวเอง และสังคมทั้งนั้นเบยยยยย



มิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับ Sense of purpose ในมุมของการพัฒนาคน เหนือกว่าการสร้างผลกำไรสูงสุดให้กับองค์กร ผ่าน 5 ตัวบ่งชี้
     - มอบค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล
     - เป็นที่ทำงานที่น่าทำงานด้วย
     - พัฒนาทักษะของพนักงานอย่างยั่งยืน
     - ส่งมอบสินค้า/บริการที่ดี ที่สามารถยกระดับชีวิตของผู้คนและสังคม
     - มอบหมายงานที่มีคุณค่า และคอยสนับสนุนส่งเสริม

แต่เห็นอุดมการณ์ด้านงานและสังคมแรงแบบนี้ ผลสำรวจกลับเจอมุมที่น่าแปลกใจ คือ เมื่อถามถึงเป้าหมายส่วนตัวของมิลเลนเนียล ก็พบว่า มันมีความเป็นสูตรสำเร็จเหมือนคนรุ่นเก่านั่นแหละ (ในเซอร์เวย์ใช้คำว่า Personal goals are fairly traditional) เป้าหมายที่ว่าก็เช่น อยากมี Work-life balance, อยากมีบ้าน มีคู่ชีวิตและครอบครัวที่ดี, มีความมั่นคงเรื่องเงินทอง โดยวางแผนจะเก็บเงินเพื่อการเกษียณอย่างมีคุณภาพ

โธ่ ชีวิตแพทเทิร์นมาก แล้วมาทำเป็นอินดี้


Part 3: อย่าปล่อยให้ Talent หลุดมือ


อย่างที่บอกว่ามิลเลนเนียลนั้นไม่ค่อยมีความภักดีกับองค์กรเท่าไหร่หรอก ซึ่งองค์กรก็รู้อยู่แล้ว ยังไงมีคนออกก็ต้องมีคนเข้า แต่ปัญหาจะเกิดทันที ถ้าคนที่ออกไปดันเป็นพวก Talent ขององค์กร เรียกแบบมันส์ๆ พวกนี้คือพวกตัวเทพ ตัวท้อป เก่งและดี คนพวกนี้ใครๆ ก็อยากได้ และใครๆ ก็ไม่อยากเสีย

(Credit: Deloitte)

อย่างย่อและง่าย สิ่งที่องค์กรควรทำเพื่อ Retain the talent เอาไว้ คือต้องเริ่มจากการเข้าใจความอินดี้ของมิลเลนเนียลให้ได้ แล้วจึงคอยสนับสนุน และส่งเสริมให้มิลเลนเนียลคว้าดวงดาวที่เป้าหมายทั้งด้านงานและชีวิต (เน้นเลยนะ ว่าต้องมี Life ambition ด้วย ถ้าขาดด้านนี้ไป มิลเลนเนียลก็อกแตกตายเหมือนกัน) องค์กรต้องเปิดโอกาสให้มิลเลนเนียลได้แสดงผลงาน ได้พัฒนาตนเองผ่านงานที่ท้าทายและมีคุณค่า และสิ่งที่มิลเลนเนียลต้องการ แต่อาจไม่กล้าบอกก็คือ พวกเขาอยากมีเมนเทอร์พี่เกดคอยให้คำแนะนำอยู่ใกล้ๆ


67% ของมิลเลนเนียลในกลุ่ม Emerging Market นั้นต้องการเมนเทอร์ซักคนที่จะคอยให้คำปรึกษา เหมือนที่พี่เกดสอนให้จีน่าหมุนเป็นลูกข่างในการเดินแบบ ในแบบที่บีก็ทำไม่ได้ คริสเหรอ อย่าหวังเลย (เลอะเทอะชิบหาย กูเนี่ย 555) ตัวเลขนี้จะน้อยลงมาเหลือ 52% สำหรับกลุ่ม Developed Market ก็แน่ล่ะ เขาสตรองแล้ว ไม่ต้องมาแนะนำแล้วโว้ย ซึ่งไอ้การเมนเทอร์นี่ก็ไม่ใช่ว่าแค่พาไปกินข้าว เล่นบัดดี้ เลี้ยงปีใหม่ อะไรแบบนั้น มิลเลนเนียลต้องการอะไรที่มีสาระ มีคุณค่า อยากดูดประสบการณ์จากเมนเทอร์มาให้ได้เยอะที่สุด อยากได้คำแนะนำเจ๋งๆ และเมนเทอร์ก็ต้องแสดงออกให้มิลเลนเนียลเห็นว่า ต้องการจะถ่ายทอดความรู้ เพื่อพัฒนาให้มิลเลนเนียลเติบโตต่อไปได้


ค่านิยมองค์กรที่เน้นเรื่อง Purpose beyond Profit ก็เป็นอีกสิ่งที่จะช่วยยื้อเหล่าทาเลนท์ให้ยังอยู่กับองค์กรได้ โดยองค์กรต้องหาทางสื่อสารให้ทาเลนท์เห็นว่าเรากำลังจริงจังกับเรื่องเหล่านี้ ผ่านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง เปิดกว้าง เข้าถึง และให้ความสำคัญกับพนักงานอย่างแท้จริง


ถัดมาคือโปรแกรมพัฒนาทาเลนท์ให้ยิ่งเก่งยิ่งเจริญขึ้นไปอีก ก็มีส่วนช่วยในการตัดสินใจอยู่ต่อ และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ก็คือ เงินน่ะแหละ ที่เป็นยาแรง ยื้อชีวิตทาเลนท์เอาไว้ได้ แต่อย่างที่ว่า ทาเลนท์เราอินดี้ เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่ที่สุด สุดท้ายแล้วองค์กรต้องมอบแพ็คเกจที่สมเหตุสมผล พร้อมกับไม่ลืมปัจจัยอินดี้ๆ อื่นๆ ที่ว่าไปข้างต้น ในการเหนี่ยวรั้งและรักษาทาเลนท์ซักคนเอาไว้ อาจจะดูเหนื่อยที่ต้องมางอนง้อเอาใจไอ้พวกอินดี้ แต่บางทีก็อาจจะคุ้มกว่าการรับคนใหม่เข้ามา เสียเวลาปลุกปั้นปรับตัว อันนี้ก็สุดแท้แต่แนวทางขององค์กร



ยิ่งยืดหยุ่นยิ่งอยู่ยาว

ในเอกสารมีการยกข้อเขียนของ Adam Henderson แห่ง Millennial Mindset  บอกว่า "ถ้าไม่สามารถไว้ใจให้พนักงานทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Working) ได้ งั้นจะจ้างเขามาทำไมตั้งแต่แรก เพราะการทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าทาเลนท์ได้กำหนด "ทางเลือก" การทำงานในแบบของพวกเขา ทางที่มันเหมาะกับวิถีชีวิต ซึ่งจะส่งผลให้วิน-วินกันไปทุกฝ่าย" 



Flexible working คือการทำงานแบบที่ไหนก็ได้ จะทำที่บ้าน ที่ร้านกาแฟ ร้านนวด ริมทะเล หรือในส้วมที่ออฟฟิศ ตราบใดที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผลสำรวจพบว่ามี 43% ที่ทุกวันนี้ใช้ชีวิตยืดหยุ่นอยู่ ส่วนอีกกว่า 75% เห็นตรงกันว่า การทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นมีแนวโน้มจะสร้าง Productivity มากกว่า 



เราว่าสิ่งที่อยู่ลึกไปกว่าความยืดหยุ่นในการเลือกที่ทำงานด้วยตัวเอง มันคือความรู้สึกว่าบริษัทให้เกียรติและไว้ใจพนักงานในฐานะมนุษย์ผู้มีความรับผิดโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะเป็นคนเลวก็ได้นะ แต่พอบริษัทไว้ใจ มันจะทำให้คนเลวรู้สึกผิด และโพรดักทีฟขึ้นมาเอง (เอ๊ะ ยังไง) แต่เฮ้ย เอาแบบดีๆ คือ การไว้เนื้อเชื่อใจนั้นสำคัญ มันคือการให้เกียรติกัน พนักงานเองก็จะเกิดภาวะความรับผิดชอบอันเกิดจากตัวเอง ไม่ใช่จากการบังคับ แบบนี้มันยั่งยืนกว่าการใช้กฎมากะเกณฑ์กันนะ



ซึ่งก็สอดคล้องกับผล สำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมอื่นๆ ขององค์กร ที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกในแง่ดีจากเหล่ามินเลนเนียล เช่น บรรยากาศแห่งความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรมองค์กรแบบเปิดกว้าง การสื่อสารและให้ฟีดแบ็ค


มีอีกข้อที่น่าสนใจ คือสัปดาห์แห่งการทำงานในฝันของชาวมิลเลนเนียล ว่าพวกเขาอยากจะใช้เวลาในสัปดาห์นั้นไปกับอะไรบ้าง ผลออกมาคือ พวกเขาอยากใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดคุยเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้าน Leadership ที่เหลือคือเช็คและตอบอีเมล และสุดท้ายคือได้รับเวลาในการสอนงานจากเหล่าเมนเทอร์ ดูช่างเป็นหนึ่งอาทิตย์ของการทำงานที่เลอเลิศ


แต่ความเป็นจริงคือ เวลาเกือบครึ่งของสัปดาห์หมดไปกับอีเมล โถ เจ้ามิลเลนเนียลน้อย

(Credit: Deloitte)


และสุดท้าย ที่จะถือว่าสรุปทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมายาวเหยียดก็คือ มิลเลนเนียลต้องการที่จะรู้สึกว่าพวกเขานั้นเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตการทำงาน ของพวกเขาเองได้ หากองค์กรไหนทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้น ก็มีโอกาสที่จะได้รับความภักดีเป็นสิ่งตอบแทน

_________________________________

สุดท้ายแล้วยังไงมนุษย์เงินเดือน ก็ยังต้องขับเคลื่อนด้วยเงินเดือนเป็นหลักแหละนะ มิลเลนเนียลก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าได้เงินแบบสมเหตุสมผล ดำรงชีวิตได้ มีพอเหลือไปใช้ชีวิต พวกเราก็โอเค แต่สิ่งที่สำคัญและเราก็ต้องการไม่ต่างจากเงิน ก็คือ "ความภูมิใจในตัวเอง" เป็นความรู้สึกดีต่อตนเอง ว่านี่เรากำลังทำงานที่มันมีคุณค่าอยู่ และงานของเรามีความสำคัญต่อองค์กร องค์กรก็มีบทบาทในการยกระดับสังคมให้ดีขึ้น พอบอกใครว่าเราทำงานที่ไหน เราก็ยืดอกได้ อาจจะดูว่าพวกมิลเลนเนียลขี้เอาแต่ใจ คิดถึงตัวเอง หยิ่งผยอง ไปซักหน่อย (ซึ่งก็จริงแหละนะ) แต่มันก็เป็นผลมาจากสังคมที่เปลี่ยนไป วิธีการเลี้ยงดู และโลกในยุคที่เราเติบโตมาหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนั้น

มิลเลนเนียลเองก็ต้องเข้าใจความต่างเช่นกันนะ เราอาจจะกำลังเป็นที่สนใจ เป็นกำลังสำคัญที่จะเคลื่อนโลก แต่ประสบการณ์ และความเก๋าของคนรุ่นที่แล้วยังไงก็ยังสำคัญ และต้องดูดพลังเหล่านั้นมาสะสมไว้ที่เราให้ได้มากที่สุด เปิดกว้างยอมรับในความแตกต่าง ทำความเข้าใจกับมัน และบริหารวิธีการที่เราจะรีแอ็คกับคนเจนต่างๆ ให้เหมาะสม การทำงานก็จะราบรื่นขึ้น และเราเองก็จะยิ่งสตรองขึ้นด้วย

ไปพวกเรา กลับไปตั้งใจทำงานกันต่อ!




Snap: อวสานโลกสวย

Snap
(2015, คงเดช จาตุรันต์รัศมี, A+)





เชยมากที่เพิ่งได้ดู ทีแรกคิดว่าจะไม่ได้ดูแล้ว เพราะหนังดันเข้าตอนไปเที่ยว และไม่คิดว่ามันจะมีชีวิตยืนยงคงกระพันอยู่ในโรงหนังได้นานขนาดนี้ พอกลับมาก็หามีเวลาว่างไม่ วันนี้ก็ไม่ได้ว่าง แต่กลัวว่าพรุ่งนี้มันจะไม่อยู่แล้ว เลยต้องยอมใจตัวเองออกไปดู แล้วผลเป็นไง จี๊ดหัวใจจนไม่อาจจะเริ่มเขียนต้นฉบับได้ ถ้าไม่ได้บันทึกถึงหนังเรื่องนี้ก่อน


ความรู้สึกจี๊ดใจมันบังเกิดกับเราหลังจากซีนตู้ปลา แล้วตัดฉับมาที่บอยกำลังกินฝรั่งจิ้มพริกเกลือ บทสนทนาตรงนั้นคือจุดระเบิดในใจ และหลังจากตรงนั้นมาก็รู้สึกแบบขำขื่นกับหนังมาตลอด อยากจะตั้งชื่อไทยให้ใหม่ ว่า อวสานโลกสวย ไม่ต้องมาคิดถงคิดถึงอะไร หนังมันดาร์กจะตาย คำนึงที่พุ่งขึ้นมาในหัวคืออยากเดินไปบอกผึ้งว่า ไงล่ะ อีสลิ่ม 5555 ดูเป็นคนเลวมาก และผึ้งคงไม่ใช่สลิ่ม แต่อยากด่ามันแบบนั้น คือหนังแม่งก็เสือกพูดคำว่าสลิ่มขึ้นมาด้วยไง ตกใจเล็กน้อยว่า เอ้อ พูดแบบนี้ขึ้นมาก็ได้เหรอ แล้วเป็นไง มึงเลยไปคิดกับอีผึ้งว่าเป็นสลิ่มไปเลย (ขอโทษนะผึ้ง ความคิดเราไปเร็วเกินไป)
สงสารมันก็สงสารนะ หดหู่ด้วยก็ใช่ แต่ก็สะใจอยู่ในที ไงล่ะ ชีวิตที่โหยหาความหลังอันงดงาม โรแมนทิไซซ์และใส่ฟิลเตอร์ให้ทุกจังหวะของชีวิต สะสมคำคมไว้เต็มกระเป๋า แช่แข็งตัวเองอยู่กับความเพ้อฝัน พาชีวิตเดินหน้าไปแบบงงๆ หลงและหลอกตัวเองว่ามีความสุขดีตามยอดไลค์ที่ได้รับ พอถึงจุดนึงที่อยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาได้ นึกย้อนกลับไป อ้าวสัส นั่นกูทำตัวเองทั้งหมดเลย ที่พังๆ อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมึงเองนี่แหละ จะโทษใคร ก็ใช้ชีวิตต่อไปแบบพังๆ หลอกๆ แบบนี้แหละ


ไอ้การกัดฝรั่งจิ้มพริกเกลืองั่มๆ ของไอ้บอยฉากนั้นแม่งดี คนอื่นเขานอสตัลเจียกัน กูอินอยู่ฉากเดียวนี่แหละ ยิ่งพอมาเจอแฟนไอ้บอยนั่งรีดผ้าข้างหน้าเป็นทีวีที่ฉายเรื่องไร้สาระที่มัน บังคับให้เราดู ยิ่งประทับใจ หัวเราะขื่นอยู่ในลำคอ แววตาที่แห้งแล้งของบอยมันดีมากเลยฉากนั้น จริงมากๆ มันไม่มีหรอกวันเวลาดีๆ ที่ฝันถึง อยากกลับไปให้เป็นเหมือนเดิม มาทวงสัญญาวันเก่า ชีวิตวัยรุ่นที่แสนจะสดใส มันมีแต่ความจริงตรงหน้าวันนี้ กับชีวิตที่ต้องดิ้นรน ด้นสดไปตามสถานการณ์ ที่บางทีแม่งดีๆ อยู่แล้ว ก็ดันมีใครก็ไม่รู้มาพรากไอ้สิ่งดีๆ นั้น แล้วยัดเยียดเรื่องบ้าบอมาให้โดยเราไม่ได้เรียกร้อง แต่จะให้ทำไง เรียกร้องไปก็มีแต่เสีย ก็อยู่บ้านแดกฝรั่งจิ้มพริกเกลือแล้วทำมาหากินต่อไปตามอะไรก็ตามที่มันจะเข้ามา

อย่างที่แฟนอีบอยบอกนั่นแหละถูกที่สุด อย่าไปเวิ่นเว้อกับชีวิตให้มันมาก ไอ้ที่ว่าจี๊ดเพราะมึงไปโฟกัสอยู่กับมันมากไป แต่ถ้าชอบความโรแมนติกแบบนั้น ก็ตามใจ มีความสุขแบบที่ชอบที่ชอบไปก็แล้วกัน กูไปซักผ้ารีดผ้าและทำมาหากินก่อนละ บายนะ ไว้เจอกันตอนงานเลี้ยงรุ่น

ชอบความทหารที่ใส่เข้ามาในหนังทั้งแบบมวลๆ (อย่างเช่นบ้านของผึ้ง หรือคาแรกเตอร์แม่ผึ้งที่เป็นเมียทหาร) และแบบตรงๆ อย่างพี่แมนแฟนผึ้ง (ซึ่งกูไม่น่าเคยไปดูละครเวทีที่พี่เค้าเล่นไง แล้วพี่เค้าเกย์มากจนไม่อาจทำใจให้ดูแล้วจะคิดว่าพี่เค้าแมนๆ แฟนผึ้งได้เลย หนูขอโทษ) ชอบฉากเลือกรูปที่เหมือนให้คนดูอย่างเราเลือกด้วยน่ะ คือเราก็เลือกเหมือนผึ้งนะ เพราะรูปนั้นมันสวยกว่าจริงๆ แต่พี่แมนแกดันไปเลือกรูปที่มันแข็งและมีความสูตรมาก เลือกแบบราชการเลย ที่ต้องเห็นหน้าชัด หน้าตรง เดี๋ยวคนไม่รู้ว่ามางานใคร ใครได้หน้า และหนักเข้าไปอีก ด้วยการปรึกษากับแม่ผึ้ง เออออห่อหมกกันอยู่สองคน อีผึ้งเนี่ยโดนกระทำจากเหล่าเจ้าชีวิตผู้มีอำนาจเหนือเราครบเลย ทั้งอำนาจจากพ่อแม่ จากสามี และจากการเมืองที่ลมเพลมพัด ผึ้งไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเองในชีวิตจริง เป็นแค่เจ้าของคอนเทนท์ในโลกออนไลน์เท่านั้น มันน่าเศร้านะ


อีกอย่างที่ชอบและรู้สึกว่ามันจริงมาก คือฉากในวงสนทนาของแก๊งค์ชะนี ที่คุยกันถึงรสถึงชาติมากกว่าวงผู้ชายซะอีก คือเราชอบเห็นในหนังว่า โหย วงเหล้าของผู้ชายนี่คุยกันมึงมาพาโวย ทะลึ่งตึงตัง แต่นี่โว้ย วงชะนี + เพื่อนกะเทยซักคนสองคน อันนี้ก็แซ่บที่สุดแล้ว กล้วย หวี อะไรพูดกันได้หมด เคยบางทีที่คุยกันหนักหน่วงจนแฟนผู้ชายสองสามคนที่นั่งอยู่ในวงด้วยต้อง ขอตัวเดินออกไปก่อน เพราะคงเขินแทน แต่เนี่ย คุยกันแบบนี้แหละ แหม วงผู้ชายมึงอยู่ในยุคหลังสงครามเหรอ จะพาเพื่อนไปขึ้นครู เขาได้กันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เลิกแซวกันเรื่องแบบนี้ได้แล้ว มันเชย


เออ จะว่าไปเราก็มีความนอสตัลเจีย แง่ความคิดถึงอดีตเหมือนกัน แต่เป็นแง่ที่แบบ คิดถึงแล้วก็เท่านั้น คิดถึงแต่ไม่โหยหา คือมันจะมีช่วงที่เราก็เป็นแบบผึ้งนะ คืออะไรในอดีตมันก็สวยงามไปหมด ชีวิตมัธยมคือช่วงที่ดีที่สุด แต่พอโตมาเรื่อย จนตอนนี้ นึกย้อนไปแบบซื่อสัตย์กับตัวเองจริงๆ เราก็ไม่ได้โหยหาช่วงเวลานั้นเท่าไหร่ (ถ้าเทียบกับช่วงมหาลัยจะยังโหยหามากกว่าหลายเท่า) มันเหมือนกับตัวเราในตอนนี้เข้ากันไม่ได้กับเราในตอนนั้นแล้ว ให้กลับไปก็คงอึดอัด ร้องไห้ แบบเราไม่บีลองกับอดีตของตัวเองอ่ะ แต่ยังไงมันก็คือเรา


รวมๆ แล้วเราดูหนังด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและขำขื่นมากกว่าจะฟีลกู้ดนอสตัลเจียนะ คือสงสารตัวเอง คนรุ่นตัวเองและรุ่นน้องตัวเองที่ต้องถูกพรากความสุขบางอย่างที่พึงมีไปกับ บ้านเมืองที่มันไม่แน่ไม่นอน สงสารผึ้ง แม้จะสะใจและสมน้ำหน้ามันบ้าง แต่คิดอีกที ไอ้น่าหมั่นไส้ของผึ้งมันไม่ได้เกิดจากผึ้งเองโดยแท้ การเลี้ยงดูและสังคม อะไรใดๆ ทำให้ผึ้งเป็นแบบนี้ และสุดท้ายผึ้งที่เป็นเด็กดีของสังคมมาโดยตลอด กลับกลายเป็นคนที่ถูกกระทำอย่างถึงใจมากที่สุด การร้องไห้แห้งๆ ขื่นๆ ในงานแต่งงานของผึ้งมันจึงเศร้าแบบที่ไม่ต้องมาฟูมฟายเสียน้ำตาเป็นลิตร เพราะมันเศร้าอ่ะมึง มันเศร้ามาก


เราว่าเพลง แค่ได้คิดถึง ที่ดังขึ้นมาตอนหนังจบมันสรุปได้ดี ได้ฟังเพลงนี้ด้วยความคิดอีกแบบและมันดีมากๆ แง่นึงเพลงนี้มันก็เพ้อเจ้อเหมือนผึ้งนะ คือมึงก็คิดถึงขอบฟ้า ต้นไม้ ลำธารอะไรไปสิ เหมือนคนที่โหยหาวันเวลาดีๆ และพยายามจะทำให้ปัจจุบันเป็นเหมือนวันเวลาดีๆ อันเป็นอุดมคติของตัวเองให้ได้ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ มันฝืนธรรมชาติ ก็เลยทำได้แค่เพ้อฝันอยู่ในความคิดถึง จนแก่เฒ่าและตายไป


กับในอีกแง่ บางทีการ "แค่ได้คิดถึง" มันก็พอแล้วน่ะ บางอย่างพอผ่านการเวลามาแล้วมันเลวร้ายเกิน ตัวตนของบางคนที่เราเคยชอบในวันวาน แต่วันนี้เขากลับไม่ใช่อย่างที่เราเคยคิด งั้นก็ขอเก็บเอาไว้ให้แค่ได้คิดถึงก็น่าจะเป็นสุขใจ น่าจะเพียงพอให้ยังรักษาความรู้สึกดีๆ ต่อกันได้ เป็นการคิดถึงเพื่อหายใจเข้าต่ออีกซักเฮือกแล้วเดินหน้าต่อไป หยุดภาพดีๆ เหล่านั้นเอาไว้ แค่ให้คิดถึงพอ เพราะบางทีชีวิตที่ต้องดิ้นรนก็ไม่ได้ต้องการอะไรพวกนั้นน่ะ


ปล.เลือกรูปนี้เพราะชอบฉากนี้มาก