Showing posts with label My2014Reading. Show all posts

Made in Thailand 2 | Japan Gossip | เอ๊ะ!! เจป๊อป



(เนื่องจากเพิ่งหมดช่วงงานหนังสือ แล้วก็อ่านจบแบบรัวๆ ก็เลยอัพรวมรวดเดียวไปเลยละกัน เล่มไหนอยากเขียนยาวเดี๋ยวค่อยเขียนอีกที)

Made in Thailand 2 
(2557, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, สำนักพิมพ์ a book)

แม้ว่าหลังๆ จะไม่ค่อยได้อ่านแล้ว แต่ทุกครั้งที่ซื้อ A Day ก็จะต้องตามอ่าน Made in Thailand ของพี่เต๋อ และขอบพระคุณมากที่ทำการรวมเล่มให้จะได้จัดเก็บได้อย่างสะดวก

พี่เต๋อเป็นนักเขียนหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจิกกัด แขวะ เสียดสี แดกดัน กระทบกระแทก กระแนะกระแหนได้โดยไม่ค่อยอยากโกรธแกเท่าไหร่ เพราะน้ำเสียงแกฟังดูจะหยอกล้อและน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะเข้าใจว่าแกมองกดใคร เป็นวิธีการเขียนที่ต้องศึกษาเป็นอย่างยิ่งเพื่อเป็นประโยชน์ในการหลอกด่าคนแบบเนียนๆ แล้วเค้าไม่เจ็บช้ำน้ำใจ (มันดีเหรอวะ)

ที่รู้สึกเป็นเกียรติมากคือการได้มีชื่อตัวเองอยู่ในหนังสือพี่เต๋อ ในฐานะผู้แนะนำคลิป "เอากันในน้ำ" ปรากฏในบทที่สองของหนังสือเล่มนี้ รู้สึกภาพลักษณ์ตัวเองดีมาก ที่วันๆ ก็เปิดคลิปดูคนเอากันในน้ำแถมยังแชร์ขึ้นหน้าวอลล์ตัวเอง สมเป็นวัยรุ่นไทยหัวใจค่านิยม 12 ประการดีจริงๆ เลยเรา

------------------------------------------------

Japan Gossip เมาท์ญี่ปุ่นให้คุณยิ้ม
(2557, เกตุวดี, สำนักพิมพ์มติชน)

ชอบอ่านงานเขียนของคุณเกตุวดีใน Marumura เลยซื้อหนังสือแกมาอ่าน แต่กลายเป็นว่าเหมือนเนื้อหามันใช้ความสามารถคุณเกตุวดีไม่หมดอ่ะ แบบแกดูมีคอนเทนท์เยอะมาก และเราก็อยากฟังแกเล่าเรื่องญี่ปุ่นในมุมมองของคนในมากๆ แบบเรายินดีที่จะอ่านตัวหนังสือพรืดๆ ที่เขียนโดยคุณเกตุวดีโดยไม่มีทางบ่น แต่เล่มนี้มันออกแนวหนังสือแนะแนว ฮาวทูนิดๆ เหมาะกับคนที่จะไปทำงาน ไปเรียน หรือต้องร่วมวงสังคายนากับคนญี่ปุ่นบ่อยๆ แต่จริงๆ นะ มันลึกกว่านี้ได้อีกอ่ะ เขียนอีกเถอะค่ะ เอา Text เยอะๆ เลย เรารออ่านอยู่

------------------------------------------------

เอ๊ะ!! เจป๊อป A GUIDE TO JAPANESE POPULATION 
(2557, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน)

ชอบเนื้อหาของเล่มนี้มากกว่าสองเล่มที่แล้ว (เอ๊ะ เจแปน, เจแปน Did) ไม่ได้แปลว่าสองเล่มที่แล้วไม่ดีนะ แค่เราอินหลายๆ เรื่องในเล่มนี้มากกว่า อาจจะเป็นเพราะมันเริ่มเป็นกลุ่มคนที่ธรรมดาแล้วอ่ะ แบบเด็กนักเรียนมัธยม, คุณแม่บ้าน, ตำรวจ ฯลฯ มันรีเลทกับเราดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมให้คะแนนเล่มนี้มากกว่าเล็กน้อย

ขอสถาปนาตนเองเป็นแฟนหนังสือของคุณนัทคุง ขอให้เขียนต่อไป ยังไม่หมดหรอกกลุ่มคนทั้งหลายในญี่ปุ่น จริงๆ อยากให้เขียนถึงพวกละครและหนังด้วย หวังว่าจะได้อ่านในเล่มต่อไปและต่อไป :)


The Real Alaska อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์

The Real Alaska อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์
(2557, ธนชาติ ศิริภัทราชัย, สำนักพิมพ์แซลมอน)


ธนชาติไปเที่ยว...

ช่างน่าน้อยใจที่ธนชาติคิดจะหลบความร้อนสัสที่เมืองนิวยอร์ค เมืองหลวงแห่งความคูล ขึ้นไปอยู่ในที่หนาวอย่างอลาสก้า โดยมองข้ามดอยสะเก็ด ดอยอ่างขาง และดอยหมึงที่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างไร้เยื่อใย หัวใจของเบ๊นช่างเยือกเย็นยิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งลูกไหน ขอรณรงค์ให้สมาคมคนรักการกางเตนท์บนดอยสะเก็ดออกมาประท้วงให้เป็นเรื่องเป็นราว

ปกติถ้าเราจะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือบันทึกการเดินทางเท่าไหร่ ถ้ามันไม่ใช่ที่ที่เราสนใจจะไปอยู่แล้ว เพราะกลัวว่าอ่านแล้วจะเกิดความอยาก แต่ไปไม่ได้ จากนั้นก็จะทุรนทุราย น้ำลายฟูมปาก เดือดร้อนครอบครัวต้องหามส่งสถานบำบัด จึงตัดปัญหาด้วยการไม่อ่านแม่งซะเลย อลาสก้านี่ก็เช่นกัน เรารู้จักและสนใจอลาสก้าพอๆ กับที่รู้จักพี่เทิดลูกคนที่สามของลุงทุมเพื่อนพ่อ กล่าวคือ รู้ว่าคือใคร อยู่ที่ไหน แต่ไม่รู้ไปมากกว่านั้น ไม่ได้สนใจเป็นการพิเศษอะไรเลย 

ก็เลยไม่ได้อ่าน จบค่ะ.


...................


ซะที่ไหนเล่า... อ่านแบบรวดเดียวจบ เหมือนตอนที่อ่าน New York 1st Time  นั่นแหละ 

อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์เป็นบันทึกการเดินทางขนาด 15 วัน ของธนชาติและเพื่อนที่อลาสก้า ไม่ต้องยืดเยื้อเสียเวลาว่าเช็คอินออกจากสนามบินที่นิวยอร์คอย่างไร อาหารบนเครื่องเขาเสิร์ฟอะไร คือมึงเปิดเรื่องมาก็อยู่บนแท็กซี่ที่อลาสก้าแล้ว จึงไม่อาจจัดให้หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือนำเที่ยวได้ เป็นเรื่องเล่าความชิบหายทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นแต่ตัวนายธนชาติ และพาลเดือดร้อนไปยังเพื่อนสาวร่วมทริปแบบนั้นน่าจะเหมาะกว่า

ส่วนจะชิบหายอย่างไรนั้นคงต้องไปอ่านกันเอาเอง ...

ความทีเล่นทีจริงถือเป็นยีนเด่นของธนชาติ คือเราไม่อาจเชื่อถืออะไรที่มันเขียนได้เลยจนกว่าจะจบย่อหน้าที่สาม ถ้ามันยังไม่เบรคตัวเองแสดงว่าที่อ่านผ่านๆ มานั่นเรื่องจริงแล้วล่ะ แต่ชั้นเชิงการหักมุมของธนชาติแอดวานซ์ขึ้นไปกว่าแต่ก่อน จนหลอกให้ผู้อ่านกินอ้อยไปหลายที โดนเข้าหลายๆ ทีก็เริ่มอยากจะเอาเชนไดรท์ไปฉีดใส่หน้ามัน แล้วบอกว่า อีสัส! มึงเล่าเรื่องจริงมาเถอะ

ในเล่มแม้จะมีภาพประกอบเยอะมาก (และทุกภาพสวยมาก) แต่จินตนาการต่อแต่ละฉากในอลาสก้าในหัวเรานั้นทำไมมันคล้ายๆ ภูเขาแถวระนองเลยวะ คือสลัดภาพป่าดิบชื้นทางตอนใต้ของไทยไม่ได้ รู้สึกขาดอรรถรสไปเยอะ ต้องนั่งจ้องภาพอลาสก้าอยู่นานจนเบลอ เออ ระนองก็ระนอง อย่างน้อยก็รีเลทหน่อย จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงใส่ภาพมาให้เยอะขนาดนี้ เพราะอลาสก้ามันไม่ได้เห็นบ่อยเหมือนเกาะนามิ หรือชินจูกุ เราต้องใช้พลังมโนสูงมากในการนึกภาพให้ออก แต่หนังสือมันก็พยายามช่วยเราแหละ เพราะพอเปิดหน้าต่อไป อลาสก้าก็มารอที่อีกหน้ากระดาษแล้ว

มีสิ่งที่รู้สึกต่างจากตอน New York 1st Time อยู่อย่างนึง คือตอนนั้นมันเป็นคนไทยที่ไปใช้ชีวิตและเอาตัวรอดอยู่ที่นิวยอร์ค ยังคิดว่ามันอยู่บ้านเดียวกับเราอยู่ แต่กับ The Real Alaska เบ๊นในตอนนี้เป็นคนนิวยอร์คที่ไปเอาตัวรอดในอลาสก้าอีกที มันต่างกันนะ ถ้าเอาเบ๊นที่บินตรงจากไทยมาเล่าเรื่องเดียวกัน อาจจะได้ออกมาเป็นอีกแบบก็ได้

การเดินทางที่ดีคือการไม่อยู่กับตัวเองมากไป และเปิดใจพบเพื่อนใหม่ และเดินออกนอกเส้นทางบ้าง ซึ่งธนชาติได้ทำไว้ครบแล้วในการเดินทางครั้งนี้ น่าอิจฉามันที่ได้เจอคนดีๆ แปลกๆ คาแรกเตอร์จัดๆ เต็มทริปไปหมด และที่น่าอิจฉากว่าคือตัวละครที่อลาสก้าเหล่านั้นที่ได้อยู่ในที่ที่น่าอิจฉา ได้เป็นตัวเองอยู่ในเมืองที่มีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับทั้งคนและหมี มีภูเขาให้ดูเล่นแทนตึกสูง ท่าทางจะมีความสุขโดยไม่ต้องมีใครมาคืนให้ 

ช่างดีจริงๆ...



ปล. ธนชาติมีความหมกมุ่นกับไข่ตัวเองเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่พูดถึงซ้ำๆ มากกว่าหกครั้งในหนังสือเล่มเดียว เล่มหน้าเขียนเรื่องไข่มึงเลยเถอะ

เอ๊ะ เจแปน ควบ Japan Did

เอ๊ะ เจแปน
(2012, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน) 

Japan Did
(2013, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน) 



ไม่ได้อ่านหนังสือแนวเขียนถึงญี่ปุ่นมานานเหมือนกัน แม้จะรู้สึกว่าหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นมันเยอะมากๆ แต่ถ้าเข้าไปดูดีๆ คือมันเป็นหนังสือแนะนำที่ท่องเที่ยวซะมากกว่าการ "เขียนถึง" ในเชิงสังเกต เฝ้ามอง และบันทึกวัฒนธรรมหรือลักษณะอันเป็นพิเศษของประเทศหรือที่นั้นๆ 

จำได้ว่าช่วงปีสามปีสี่ ช่วงที่หลงหนังญี่ปุ่นเอามากๆ จะชอบเข้าไปหาหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่หอสมุดมาอ่าน ที่ชอบๆ ก็จะเป็นของสำนักพิมพ์แพรวท่องโลก เช่น ใต้เสื่อตาตามิ, นางาซากิ ยลเสน่ห์ล้ำ...ย้ำอดีตลึก (เล่มนี้สนุก อ่านแล้วโคตรอยากไป) ถ้าหนักหน่อยจะเป็นของโอเพ่นบุ๊คส์ ปัญญาญี่ปุ่น ที่คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมเขียน ของคุณแขก ฮิมิโตะ ณ โตเกียว ก็มันส์ ปากจัดตามสไตล์แก แต่เล่มที่จำได้หนักๆ คงเป็น เขียนถึงญี่ปุ่น ของคุณปราบดา หยุ่น 

พอมานึกย้อนหลัง ก็เลยมารู้สึกว่าเราไม่ได้อ่านแบบนี้มานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปงานหนังสือก็จะพยายามมองหาหนังสือที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น (ที่ไม่ใช่หนังสือนำเที่ยว) จนเมื่องานหนังสือปีที่แล้วเจอเล่ม Japan Did ยืนพลิกอ่านดูนิดหน่อยเห็นว่าน่าสนใจก็เลยหยิบมา แต่ดองเอาไว้เกือบปีเนี่ยเพิ่งได้อ่านจบจริงๆ จังๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง 

และเมื่ออ่านเล่มนี้จบก็เลยติดใจ ไปย้อนหาเล่มเก่าของผู้เขียนคนนี้ คุณณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล จึงไปถอยเอ๊ะ เจแปน มาแบบด่วนๆ เลย ถึงได้รวบเขียนสองเล่มในบล็อกเดียวซะ

สองเล่มนี้พูดถึงสังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่นเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ เอ๊ะ เจแปน จะเล่าถึงความเป็น "กลุ่ม" ต่างๆ ที่มีอยู่ และดูจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศนี้ ส่วน Japan Did
จะเน้นไปที่สิ่งของ, วัฒนธรรม หรือการกระทำอะไรที่มันญี่ปู๊น ญี่ปุ่น ถ้าเทียบกันสองเล่ม เราจะเพลินกับเล่มหลังมากกว่า เพราะแต่ละเรื่องที่ผู้เขียนเลือกมามันน่าสนใจ แต่พอเป็นเรื่องกลุ่มคน บางกลุ่มที่เราไม่อินเราก็ไม่อินน่ะ อ่านเป็นความรู้ไป แต่สนุกดีจริงๆ เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศนี้มากขึ้นไปอีก 


คุณณัฐพงศ์เขียนสนุกดี ความรู้แน่นและคงเกิดจากความช่างสังเกตเป็นหลัก อิจฉาที่แกได้ไปใช้ชีวิตที่นั่นนานจนรู้เรื่องรู้ราว และจับประเด็นหลายๆ อย่างมาได้ แกเล่นมุขตลกแบบพอดีๆ และกวนตีนพอประมาณ ไม่หนักข้อเท่านักเขียนร่วมค่ายท่านอื่นๆ (นี่ชมนะ) 

อยากอ่านเรื่องญี่ปุ่นที่คุณเขาเขียนอีก เลาจะลอ


Colorless Tsukuru Tazaki and his years of pilgrimage

Colorless Tsukuru Tazaki and his years of pilgrimage
Year: 2013
Author: Haruki Murakami
Translate to English: Philip Gabriel
Published: 2014 by KNOPF


ดูจะเป็นเล่มที่เนือยๆ เอื่อยๆ ไม่ได้เอพิคบ้าพลัง เต็มไปด้วยสัญญะซับซ้อนเหมือน 1Q84 บางคนให้ความเห็นว่ามันคล้ายกับตอนอ่าน Norwegian Wood ซึ่งเราเห็นด้วยครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งคือรู้สึกว่า Coloeless Tsukuru Tazaki นั้นตัวละครมันโตและมีวุฒิภาวะมากกว่า เหมือนหนังสือมันโตตามเรา ตอนวัยรุ่นเราสดใส และสับสน เราอ่าน Norwegian Wood แล้วเราอินกับมัน ผ่านมาหลายปีเราโตขึ้น นิ่งขึ้น เรื่องมันก็นิ่งไปกับเรา แต่ข้างในนั้นซับซ้อนและประนีประนอมกับโลกจริงมากกว่าตอนเด็ก ซึ่ง Colorless Tsukuru Tazaki เป็นเรื่องแบบนั้น

สิ่งที่บ่งชี้ว่ามันเป็นหนังสือของมุราคามิยังอยู่ครบถ้วนนะ ทั้งเรื่องความฝันอันแปลกประหลาด, การปรากฏตัวและหายไปของตัวละครบางตัวที่ไม่มีคำอธิบาย, เซ็กส์และเพลงแจ๊ส และการบรรยายอย่างนิ่งเรียบและโวหารตรรกะแปลกๆ ของแก ทั้งหมดนั้นยังมีอยู่ในเรื่องนี้ แต่อย่างที่บอกคือเรารู้สึกว่าตัวละครมันโต และเราทันความคิดของเขาไปแทบจะทุกเรื่อง ทสีคุรุ แตกต่างจากตัวละครนำของมุราคามิส่วนใหญ่ในเล่มอื่นๆ ตอนต้นๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นมนุษย์กลางๆ ทั่วไป แต่ไปๆ มาๆ ตัวละครนำของมุราคามิคราวนี้กลับเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบมากหากมองจากข้างนอกเข้าไป แต่ผู้เขียนพาเราเข้าไปสำรวจข้างในของคนที่ดูครบ ว่าแท้จริงแล้วมันมีช่องว่างและบาดแผลที่ไม่เคยได้เปิดออกดูซ่อนอยู่

ทสึคุรุเคยมีกลุ่มเพื่อนอีกสี่คนสมัยเรียนมัธยม ที่น่าแปลกคือชื่อของเพื่อนแต่ละคนจะออกเสียงเป็นชื่อสีต่างๆ อากะ (แดง), อาโอะ (ฟ้า), ชิโระ (ขาว) และคุโระ (ดำ) เป็นสิ่งเล็กๆ สิ่งแรกที่แยกทสึคุรุออกจากความรู้สึกเป็นกลุ่ม เพราะทสึคุรุไม่มีเฉดสี วันหนึ่งเขาถูกปฏิเสธความเป็นสมาชิกในกลุ่ม ด้วยเหตุผลที่เขาเองไม่มีวันรู้ได้ ทิ้งความสงสัยเอาไว้ และเขาจะเป็นจะตายกับชีวิตในช่วงนั้น

ผ่านมาสิบกว่าปี แผลสดนั้นหายเจ็บแล้วตามเวลาที่ผ่าน แต่มันยังทิ้งร่องรอยไว้กับเขาเสมอ แม้ชีวิตจะเดินหน้าไปด้วยดีก็ตาม ทสึคุรุได้รับคำแนะนำจากซาระแฟนสาวของเขา ให้กลับไปเผชิญหน้ากับอดีต และไปรับรู้เหตุผลที่เคยเกือบทำลายชีวิตเขา เพื่อปลดล็อกและพาตัวเขาให้ไปข้างหน้าได้อย่างจริงๆ ซักที

ในครึ่งหลังจึงเป็นการจาริกของทสึคุรุย้อนกลับเส้นทางสายอดีต เพื่อพบว่าเวลาสิบกว่าปีนำพาชีวิตคนเรา และเพื่อนของเขากระจัดกระจายไปทางไหนต่อไหน มันไม่ใช่การเดินทางจาริกเพื่อเรียกหามิตรภาพในอดีต รียูเนียน และนั่งพูดคุยเรื่องเก่าเคล้าน้ำตา (แหงสิ มุราคามิไม่เขียนเรื่องแบบนี้หรอก) แต่เป็นการไปเพื่อค้นพบ และซ่อมสร้างตัวเองของทสึคุรุมากกว่า

เอาจริงๆ เรายังรู้สึกว่าเก็บประเด็นได้ไม่ครบหมด และยังต้องค้นหาความหมายของเรื่องเล่าแปลกประหลาดของไฮดะและมิโดริคาวะให้ถ้วนถี่กว่านี้ แต่เราค่อนข้างรู้สึกในทางที่ดีกับ Colorless Tsukuru Tazaki ที่ว่ารู้สึกดีคือเรารู้สึกกับมันมาก เพราะครั้งนึงเราก็เคยเป็นอย่างที่ทสึคุรุเป็นเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ถูกโยนออกมาจากกลุ่มโดยไม่รู้เหตุผล แต่ช่วงนึงของชีวิตเราเคยเลือกเดินออกมาอยู่ห่างๆ อย่างไม่มีเหตุผลเหมือนกัน เป็นช่วงที่ติสต์แดกและไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากสันโดษขนาดนั้น เป็นชีวิตช่วงที่เซนซิทีฟมากถึงขั้นที่รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกับตัวละครตัวหนึ่งที่ชีวิตเขาน่าสงสาร อยากกอดตัวละครนั้นแล้วบอกว่า มีเราอยู่อีกคนนะ แต่ยังไม่ทันได้กอด ตัวละครนั้นก็ได้รับของขวัญเป็นตอนจบในละครที่แฮปปี้เอนดิ้ง ทิ้งให้เรากลายเป็นตัวละครที่น่าเศร้านั้นแทน

เรารู้สึกมาตลอดว่าตัวละครของมุราคามินั้นจะเปราะบาง และดูเหมือนพวกเขาจะตั้งอยู่ในระบบความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง จนทำให้พวกเขาไม่มั่นใจจะไปทางไหนซักทาง เป็นคนครึ่งๆ กลางๆ ที่กลับตัวไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ถึง บาดแผลของพวกเขาเหล่านั้นชัดเจนบ้างไม่ชัดเจนบ้าง บางทีก็มีเหตุผล บางทีก็ไม่มีคำอธิบาย แต่สำหรับทสึคุรุนั้นมันค่อนข้างจะพัฒนาไปอย่างเป็นระบบ ปมของตัวละครนี้มีที่มาที่ไปชัดเจน และสุดท้ายมันจะคลี่คลายไปในลู่ในทางที่เรานึกภาพออก ไม่ได้เป็นภาพฝันแปลกบนโลกประหลาดแต่อย่างใด

ทสึคุรุเองก็เริ่มต้นจากการเข็ดขยาดกับความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบฝากใจเอาไว้ที่ใคร บาดแผลในวัยรุ่นทำให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น ส่วนที่เหลือจนถึงตอนคลี่คลายมันจึงเป็นการพยายามโตขึ้นของตัวละครของมุราคามิ คือไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ใดเลยนอกจากเรื่องข้างในของตัวเอง เป็นการพยายามข้ามผ่านอดีตเพื่อก้าวไปข้างหน้า และทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต และคนรอบข้างว่ามันก็ต่างต้องมีทางที่ไป บางช่วงตอนและบางตัวละครสะท้อนสังคมญี่ปุ่นยุคใหม่ แต่ไม่พยายามตัดสิน เป็นมุราคามิในแบบที่พาเราไหลไปตามโลกอย่างเข้าใจ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยไม่มีประจุ

สีสันที่เคยฉูดฉาด เมื่อปล่อยทิ้งไว้ให้มันโดนอากาศ โดนความร้อน เฉดสีเหล่านั้นมันก็มีวันจางไป สิ่งที่เคยสำคัญ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา เมื่อถึงวันนึงมันอาจจะเล็กมาก เหมือนลูกโป่งที่เคยถูกอัดลมเต็มและเมื่อทิ้งไว้มันก็ฟีบ...

โดยส่วนตัวเราค่อนข้างชอบ เพราะเหตุผลข้างต้นว่ามันทำให้เรานึกถึงตัวเองช่วงหนึ่ง และก็คงเพราะเราโตขึ้นและประสาทรับรสเรามันโอเคแล้วกับรสชาติไม่จัดจ้าน ไม่ฉูดฉาดประมาณนี้ มุราคามิแกอาจจะแค่เขียนเรื่องนี้โดยใช้พลังงานระดับวอร์มสมอง รอเรื่องหน้ามาแบบเอพิคเลยก็เป็นได้ ทิ้งให้สาวกอย่างเรานั่งซึมเซาและทอดถอนใจอยู่กับตัวเอง


Old School 2 ความสุขของเด็ก เล็กเท่าขนม

Old School 2 ความสุขของเด็ก เล็กเท่าขนม
(ณัฐชนน มหาอิทธิดล,  สำนักพิมพ์แซลมอน, 2556)


- ก่อนซื้อลองพลิกๆ อ่าน เจอบทที่ว่าด้วยกระเป๋าจาค็อบ รู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากก็เลยซื้อ

- พอเจอคำนำเข้าไป รู้สึกใจไม่ดี ไหนบอกว่าระยำตำบอน พี่เล่นเปิดเรื่องมาหอมหวานนุ่มละมุนเป็นลาเต้ขึ้นมาเลย 

- อาการใจไม่ดีหายไปเมื่อเริ่มเข้าสู่เนื้อหา อืม...มันมันมาก ระยำดั่งคำโปรย

- หนังสือเล่าเรื่องชีวิตวัยเรียนของพวกเราชาวเจนวาย เติบโตมากับเกมส์บอย และฟังเพลงไอ เลิฟ เจนเนอเรชั่น เน็กซ์ ในรายละเอียดของแต่ละเรื่องมันจะแตกต่างกันบ้าง แต่รวมๆ แล้วเราก็อินอยู่ดี 

- หลายเรื่องที่ได้อ่านนี่เปิดโลกกิจกรรมให้เด็กที่อยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาสิบสองปีอย่างเราได้เหมือนกัน เรื่องการเทิร์นรองเท้านี่คือที่สุด ตอนอ่านหันไปถามสามีว่าเคยโดนเทิร์นรองเท้ามั้ย นายบอกว่าเคย เลยถามต่อว่าแล้วเธอทำไง นายก็บอกว่า ก็ไปเทิร์นกลับดิ โถ...ผัวกู

- ทำให้เราพบว่า แม้จะเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน มีเรื่องเล่าคล้ายๆ กัน แต่สุดท้ายมันก็จะมีกลุ่มย่อยๆ เป็นซับคัลเจอร์ เป็นวัฒนธรรมเฉพาะ เด็กหญิงล้วน ชายล้วน สหฯ มัธยมล้วน มัธยมและมีประถมด้วย เด็กประจำ ฯลฯ จะมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง อย่างถ้าเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ก็ต่างในหลายๆ ดีเทลแล้ว

- และโรงเรียนนี่แม่งเป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุด เท่าที่ช่วงชีวิตคนคนนึงจะเจอได้

- พออ่านแล้วความคิดเรามันก็จะทำงานแบบไหลย้อน คือย้อนไปสมัยเรายังเป็นวัยรุ่นตัวเหม็นๆ แต่มีพลังเยอะชิบหาย บางอย่างที่ทำก็น่าเชิดชู บางอย่างนี่แม่งก็โคตรน่าอาย เราในตอนนั้นทั้งเนิร์ด ทั้งบ้าๆ ไปนั่งอ่านเฟรนด์ชิปแม่งมีแต่เพื่อนบอกว่าเราบ้า บ้านมึงขายยาม้าเหรอ แต่กระนั้นก็โคตรเนิร์ด เคยแต่งเพลงอำลาเพื่อนแล้วขึ้นไปร้องเอง (อี๋), เคยโดยครูปกครองตัดผมให้แบบเขียวเลยอ่ะ เขียวเลย, เคยโดนครูฝรั่งตบหน้า, เคยโดนพักการเรียน ฯลฯ ก็ผ่านมาเยอะเหมือนกันเว้ย

- มีทั้งดีทั้งแย่ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่สว่างไสวที่สุดแล้วตอนนั้น 

- ตัวเราในตอนนั้น เรียกกลับมาไม่ได้แล้ว มีไว้ให้คิดถึงได้อย่างเดียว

- ขอบคุณหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เราได้คิดถึงมันอีกครั้งนึง

วัตถุ WI-FI : โซเกรี้ยวเน็ตเวิร์ค

วัตถุ WI-FI
(คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง, สำนักพิมพ์แซลมอน, 2557) 


ในกระแสออนไลน์ครองโลกอย่างทุกวันนี้ มันก็จะมีหนังสือที่พูดถึงโลกดิจิตอล พฤติกรรมของคนบนโลกออนไลน์ ที่เล่าจากมุมของนักการตลาดออนไลน์ ดิจิตอลกูรูเรียงกันเป็นตับ ประมาณว่าทำยังไงให้เพจฮิต วิเคราะห์เจาะลึกพฤติกรรมชาวเน็ตถึงระดับลำไส้โค้งที่ห้า เพื่อทำแคมเปญให้ฮิตให้โดน พอจะเคยอ่านมาบ้าง แต่คนหัวไม่การตลาดอย่างเราก็เข้าไม่ถึงเท่าไหร่ ไม่รู้จะไปทำเพจให้โดนใจใคร (แต่ทำท่าอะไรให้โดนใจเธอ อันนี้รู้ดี แอร๊ยย...ไม่เกี่ยว) 

วัตถุ WI-FI ของพี่ตัดคันฉ่อ พี่ต่อ คันฉัตร (มึงไปผวนชื่อพี่เขาทำไม) ก็พูดถึงเรื่องประมาณด้านบนเหมือนกัน แต่จากคนละมุม เป็นเรื่องเล่าของพวกเราชาวยูสเซอร์ ที่ตกเป็นทาสอินเตอร์เน็ตมาตั้งแต่ขนรักแร้ขึ้นเป็นตอๆ เมื่ออ่านแล้วจะไม่ได้รับรู้เทคนิคในการสร้างคอนเทนท์เรียกไลค์อะไรจากใครทั้งนั้น แต่จะได้รับทราบประวัติศาสตร์โซเชียลเน็ตเวิร์ก ในมุมมองของยูสเซอร์ผู้เล่นจริงเจ็บจริง เพลิดเพลินไปหลากหลายพฤติกรรมอันเป็นวีรกรรมโหดๆ ในโลกออนไลน์แห่งนี้ ที่ไม่รู้ว่าพี่ต่อแกอยู่โลกเดียวกับเราหรือไม่ ทำไมโลกที่แกเจอถึงได้สาหัสสากรรจ์ขนาดนั้น

ชวนให้นึกถึงตัวเรา จำบรรยากาศวันแรกที่ก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ดี เป็นโมเมนท์ที่ยิ่งใหญ่ กับการที่วัยรุ่นคนหนึ่งได้เชื่อมตัวเองเข้าสู่โลกแห่งการสื่อสารไร้พรหมแดน และสิ่งแรกที่เราทำคือการ เข้าไปห้องแชทของเว็บ Sanook.com (แหม ยิ่งใหญ่มากเลยมึง) แล้วตื่นเต้นมากเวลาที่มีคนตอบเรามาจริงๆ เฮ้ย กรี๊ด เค้าคุยกับเราด้วยอ่ะ ตายแล้ว ผู้ชายรึเปล่า เขินมาก จำได้ว่าวันนั้นตอบไปนิดหน่อย แล้วก็ออกจากบ้านไปซื้อข้าวเย็นกิน ระหว่างทางเดินไปปากซอยนี่คิดไปเยอะเลย เราจะโดนจีบรึเปล่า จะโดนล่อลวงมั้ย ฯลฯ คิดไปเยอะมาก กลับมาถึงบ้านจะแกะข้าวผัดกินหน้าคอม อ้าว เน็ตหลุดไปแล้ว จบกิจกรรม.

ด้วยความที่เราเป็นรุ่นน้องพี่ต่อสองสามปี ประสบการณ์ที่มีต่อแต่ละเรื่องจึงไม่แตกต่างกันมาก คือ พี่แกพูดอะไรมาเราก็อ๋อหมด รู้จักหมด (จะมีก็แต่โลกด้านมืดพวกเว็บโป๊ที่เราไม่เคยเข้าไปเลยจริงจริ๊งงงง) รู้จักพี่ต่อก็จากบล็อกใน Bloggang ที่เราก็เขียนอยู่เหมือนกัน รู้จักกับแกจากโลกเสมือนจริงก่อน แล้วถึงได้ไปรู้จักกันในโลกจริง จึงค่อนข้างอินกับโลกออนไลน์ในมุมของพี่ต่อพอสมควร

อาจารย์พี่ต่อคันฉัตรยังคงปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยน ก่นด่าได้แม้กระทั่งคีย์บอร์ด อ่านไปก็หัวเราะไป อ๋อ หนังสือตลก เปล่า ดูชิงร้อยชิงล้านอยู่ เฮ้ย ตลกจริง เป็นความตลกที่มีรสชาติแห่งการเสียดสีแดกดันสไตล์อาจารย์ต่อ เสียดายเล่มเล็กไปหน่อย ถ้ายาวกว่านี้ คงจะได้อ่านวีรกรรมของชาวเน็ตแบบเข้มข้นขึ้นเราก็ยินดีจะอ่านอยู่แล้ว

(กูเขียนแทบตายพวกมึงอ่านกันครึ่งชั่วโมงจบ หัวใจทำด้วยอะไร - กล่าวแทนผู้เขียน)



กลับมาแล้วครับ (Er Ist Wierder Da)

กลับมาแล้วครับ 
ER IST WIEDER DA

เขียน: ทีร์มูร์ แฟร์เมส Timur Vermes
แปล: ฉัตรนคร องค์สิงห์



อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตื่นขึ้นมาในทุ่งกว้างในเมืองเบอร์ลินแบบงงๆ มองไปรอบตัวอะไรๆ ก็แปลกไปหมด จากนั้นท่านฟือห์เรอร์ก็พบว่าตัวเองอยู่ในปี 2011 หกสิบหกปีหลังจากครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นท่าน การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ของท่านผู้นำอันเกรียงไกรสุดยอดจึงเกิดขึ้น แต่แหงแหละ ที่ท่านฟือห์เรอร์นะเฟ้ย จะให้หลงยุคเข้ามาแล้วตั้งหน้าตั้งตาหาทางกลับ หรือหาคนรักต่างเวลาก็ไม่ใช่เรื่อง ท่านฟือห์เรอร์จึงหาหนทางเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำเชื้อสายบริสุทธิ์แห่งชาวอารยัน ด้วยเครื่องมือสุดทันสมัย ไม่ใช่ฟิล์ม 16 mm อีกต่อไป แต่เป็นรายการทีวี และอูตู๊บ (เออ ก็ยูทูปนั่นแหละ!)

พนิตชนกเป็นคนที่ถูกฉโลกกับพลอทแบบนี้มาก จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงซื้อเล่มนี้มาอ่าน แม้ในชีวิตจะไม่ได้อินประวัติศาสตร์ชาติเยอรมันใดๆ ทั้งสิ้นมาก่อน ซึ่งเมื่ออ่านจบก็พบว่า บางช่วงบางตอนนั้นต้องอาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์ และความเข้าใจในสังคมเยอรมันมากหน่อย ถึงจะได้อรรถรสในการอ่านมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ดี ทางผู้แปลได้ในเชิงอรรถขยายความรู้ให้เราเต็มไปหมด นึกภาพออกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่ก็ดีกว่าอ่านไปเฉยๆ

เราฮาขี้แตกเยอะมากในช่วงต้น คือผู้เขียนวางตัวฮิตเลอร์เอาไว้เป็นตัวตลกเลยแหละ ไม่ว่าแกจะทำอะไรมันจะผิดที่ผิดทาง หลงยุค น่าขบขันไปหมด นึกภาพแกมองวัยรุ่นเตะบอลกันอยู่ แล้วไปเรียกไอ้หนูพวกนั้นว่า "ยุวชนฮิตเลอร์" ก็ฮาแล้ว จนเราเองก็คิดอยู่ว่าแล้วเรื่องมันจะพาไปต่อยังไงถึงไหน จะเอาท่านผู้นำ ที่อีกด้านหนึ่งก็เป็นอาชญากรร้ายในประวัติศาสตร์มาเล่นสนุกไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอ

ด้วยความที่ท่านฟือห์เรอร์เป็นคนจริงจัง และไม่ผ่อนปรนคาแรกเตอร์แกเองให้เข้ากับยุคสมัยเลย แกจึงได้โอกาสไปเล่นตลกแบบ Stand up comedy ในรายการทีวี จากนั้นก็ดังเป็นพลุแตก กลายเป็นที่สนใจของสังคมไปซะงั้น หนทางสู่อำนาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

ช่วงกลางไปจนถึงท้ายมันเลยไม่ฮาขี้แตกแล้ว เราจะเริ่มรู้จักตัวตนของฮิตเลอร์มากขึ้นผ่านตัวละครฮิตเลอร์เองนี่แหละ (มีคำโฆษณาว่าผู้เขียนทำการบ้านมาดีมาก ตีโจทย์ตัวละครแตก ในระดับที่ว่าไม่มีตอนไหนเลยที่คนจะแคลงใจว่าฮิตเลอร์ไม่ได้พูดหรือรีแอ็คแบบนี้) บวกกับเรื่องราวที่พาออกไปนอกร้านขายหนังสือพิมพ์ และสตูดิโอถ่ายรายการ เสียดสี ถากถางสังคมเยอรมันให้แสบคันกันไปเบาๆ (ซึ่งตรงนี้เราไม่มีความอินไปด้วยแต่ประการใด)

ภาพของฮิตเลอร์ในมโนของคนรุ่นหลัง คือ อาชญากรโหดร้าย อารมณ์ร้าย เด็ดขาด น่ากลัว คือเราถูกสอนให้มองฮิตเลอร์แบนๆ แบบนั้นแหละ เออใช่เขาทำสิ่งที่เลวร้ายมาก แต่คนเรามันต้องไม่ได้แบนมาแต่กำเนิด วิธีที่แฟร์เมสเล่าถึงฮิตเลอร์ใน "กลับมาแล้วครับ" จึงทำให้เราเข้าใจตัวละคร ซึ่งก็คือคนจริง คนนี้มากขึ้น จริงๆ แล้วท่านฟือห์เรอร์มีแง่มุมอ่อนโยน มีเหตุผล ผ่อนปรน และมีอารมณ์ขัน มันไม่ได้ทำให้เราเข้าข้าง หรือว่าเชียร์สิ่งที่เขาทำนะ แต่มันทำให้เราเห็นว่าเขาเป็นมนุษย์คนนึงมากขึ้นเท่านั้นเอง

อ่านมาจนถึงช่วงท้ายเราก็จะสงสัยต่อไปอีกว่า แล้วจะจบยังไงวะ วาร์ปกลับไปดื้อๆ หรือจะยังไง หักมุมว่าเป็นชายเสียสติคนนึงแล้วเข้าโรงพยาบาลบ้า คือคิดไปเยอะเลย แต่ซึ่งเมื่อหนังสือมาถึงตอนจบ มันก็หนักดีเหมือนกัน เป็นตอนจบที่เหมือนไม่จบ แต่เรามองเห็นแล้วล่ะว่ามันจบแล้ว และมีบางอย่างเกิดขึ้น ชอบชั้นเชิงของผู้เขียนตรงนี้

หนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ หลักๆ ก็คงเกิดขึ้นในเยอรมันนี่แหละ ที่ไม่เห็นด้วยก็มองว่า มันเป็นการปลุกชีพท่านฟือห์เรอร์ให้กลับมาในกระแสวัฒนธรรมใหม่ แถมยังเล่าถึงคนคนนี้ในแง่มุมที่มีชีวิตชีวา คือถ้าเราไม่รู้มาก่อนว่าเขาทำอะไรเอาไว้ อาจจะรักและเอาใจช่วยตัวละครนี้ก็ได้นะ อ่านรีวิวใน Goodread ก็มีบางคนว่าอย่างรุนแรงว่าทำไมถึงเอาเรื่องของฮิตเลอร์มาผลิตซ้ำอีก เขาควรจะถูกลืมและยกให้เป็นตัวร้ายของโลกตลอดไป

เรามองว่าเราให้ความเป็นธรรมกับคนที่ชั่วร้ายได้ แต่เราให้อภัยในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ คือตัวละครนี่มันเริ่มมาแบบติดลบอยู่แล้ว เราเข้าใจเขามากขึ้นแต่ไม่ได้ทำให้เรารักเขานะ อีกอย่างคือนอกจากจะมุ่งไปที่ฮิตเลอร์อย่างเดียว หนังสือยังเสนอออกมาแบบไม่ได้พูดตรงๆ ว่าสังคม และสื่อ ก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้คนแบบฮิตเลอร์กลับมาได้ เมื่อสังคมไม่ได้ตั้งอยู่บนปัญญาและเหตุผลที่หนักแน่น สื่อก็พร้อมจะกระพือทุกกระแสที่ขายได้และทำเงิน เราก็ไม่อาจคาดหวังถึงสังคมที่ดีได้เลย

บทความของ The Guardian พูดถึงหนังสือเล่มนี้เอาไว้ เราชอบท่อนหนึ่งในตอนท้ายของบทความที่ปิดไว้แบบเจ็บๆ ว่า "เรากำลังหัวเราะให้กับฮิตเลอร์ หรือเราหัวเราะไปพร้อมๆ กับเขา"

ฟิน.








 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ปล. หนังสือเล่มนี้กำลังจะถูกสร้างไปหนัง
ปล2. หน้าปกนี่เอารางวัลชนะเลิศไปเลย โคตรชอบ
ปล3. ลิงค์ไปอ่านบทความของ The Guardian ที่ว่าไว้ข้างบน http://www.theguardian.com/world/2013/feb/05/adolf-hitler-novel-german-bestseller




หยดน้ำในกองไฟ: คิดให้เยอะ

06/2014
หยดน้ำในกองไฟ
(นิ้วกลม, สำนักพิมพ์ 101%, 2557)


หนังสือเล่มใหม่ของคุณนิ้วกลม ที่ว่าด้วยเรื่องการเมือง, สังคม และปรากฎการณ์มวลมหาประชาชนตั้งแต่ปลายปีที่แล้วมาจนวันนี้ เข้าใจว่าเป็นการรวมสเตตัสของแก เพราะหลายๆ อันเคยอ่านมาบ้างแล้วในเฟซบุ๊ก ตอนแรกเมื่อพบว่าเป็นแบบนั้นก็งอนนิดหน่อย ว่าแหม เอาแบบนี้เลยเหรอ แต่พออ่านไปจนจบก็รู้สึกอีกทาง ว่าเออ ก็ดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยบันทึกสังคมในช่วงเวลานี้ผ่านงานของนักเขียนคนหนึ่ง ที่รวมมาจากพื้นที่กึ่งส่วนตัวกึ่งสาธารณะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของยุคสมัย คงคล้ายๆ ที่เราอ่านงานของนักเขียนรุ่นเก่าที่ก็รวมจากนิตยสารเล่มนู้นเล่มนี้ที่เขาตีพิมพ์ และถึงแม้ว่ามันจะเป็นสเตตัสในเฟซบุ๊ก แต่มันก็ผ่านการคิดแล้วคิดอีก ไตร่ตรองแบบสุดๆ แล้วก่อนจะกดโพสต์ขึ้นไปให้สู่โลกออนไลน์

รู้สึกได้เลยว่าคุณนิ้วกลมแกเขียนด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ให้สิ่งที่แกเขียนไปกระทบจิตใจใคร และป้องกันไม่ให้ใครมาเข้าใจผิด หรือเหมารวมว่าแกอยู่ฝั่งนู้น ฝั่งนี้ คงเป็นยุคสมัยที่ก่อนที่ใครจะเขียนอะไร ต้องสอดแทรก หรือเกริ่นนำเป็นทำนองว่าขอออกตัวเอาไว้ก่อน มากที่สุดยุคนึง (หรือจริงๆ มันก็เป็นมาทุกยุควะ) เราว่าเราเข้าใจเขาเพราะเราก็เป็นแบบนั้น ช่วงหลังๆ มานี้ ก่อนจะเขียนสเตตัสอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือสังคม เราคิดแล้วคิดอีก อ่านทวนแล้วทวนอีก พิมพ์แล้วก็ลบๆ อยู่หลายทีจนบางทีก็คิดเหมือนกันว่ากูจะเขียนทำไม ไม่ได้โด่งดังถึงขั้นที่สิ่งที่เราเขียนจะไปเปลี่ยนอะไรหรือทำให้ใครเชื่อ สุดท้ายเราก็แค่อยากระบายความอึดอัดที่เรามี เล่าสิ่งที่เราพบเจอให้ฟังบ้าง แต่เรื่องนี้มันละเอียดอ่อน เราจะเขียนยังไงให้คนเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะบอก ก่อนที่เขาจะเลิกอ่านเพราะคิดไปแล้วว่าเราเป็นอีกพวก หรือเขาจะอ่านต่อเพราะคิดว่าเราเป็นอีกพวกเหมือนกัน เราไม่อยากเป็นคนที่แชร์ไปเรื่อยๆ แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความขัดแย้ง ไม่อยากพูดขึ้นมาลอยๆ เพื่อหวังว่าจะไปกระทบจิตใจใคร ไม่อยากเขียนอะไรแล้วทำให้ใครเข้าใจเจตนาของเราผิด ซึ่งนั่นเป็นทักษะที่ยากขนาดนี้ว่าคงต้องใช้เวลาฝึกทั้งชีวิต นั่นล่ะ หากเราจะเคยเขียนอะไรเรื่องพวกนั้นไปบ้าง ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง ก็ขอให้เข้าใจด้วยเถิดว่าเราคิดมาเยอะจริงๆ และอย่าเพิ่งตัดสินหากเรายังไม่ได้นั่งคุยกัน

มีหลายความคิดของคุณนิ้วกลมในหนังสือเล่มนี้ที่เราเห็นด้วย และดีใจที่แกเขียนออกมา เพราะเมื่อมันเขียนโดยนักเขียนที่แฟนแน่นอย่างพี่เขา ก็เป็นไปได้ทีเดียวว่าข้อคิดข้อเขียนนั้นจะได้อ่านในวงกว้าง มันก็คงบ้างมีคนที่เลิกอ่านงานต่อจากนี้ของแกเพราะสิ่งที่แกเขียน แต่มันก็ต้องมีคนที่มีน้ำอดน้ำทนพอที่จะอ่านงานของนักเขียนที่ตัวเองรักแต่ดันเสนอความคิดบางอย่างที่ดันไม่ตรงกับความรู้สึกเท่าไหร่ แต่ก็รับฟังและเอาไปคิดต่อ ไม่เห็นด้วย แต่รับฟัง เราว่านั่นก็โอเคมากแล้วสำหรับสภาพสังคมตอนนี้


กลับไปอ่านนิยายต่อดีกว่า...





เพียงชายคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ: ฟังอาจารย์บ่น

เพียงชายคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ 
(คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง, สำนักพิมพ์แซลมอน, 2557)


หลังจากอ่านเล่มนี้แล้วจะคิดถึงสองอย่าง หนึ่งคือคิดถึงอาจารย์ ครึ่งนึงคืออาจารย์ที่เรารักและจะเนิร์ดใส่ในวิชาแก เช่นอ.จุ๊บ อ.รุจน์ อ.พี่นนท์ อ.บุญรักษ์ กับอีกพวกคืออาจารย์ที่เรารักมากจนชอบเม้าท์แก ถ้าอาจารย์แกเขียนถึงวีรกรรมพวกเราบ้างก็คงมันส์พอๆ กับในหนังสือ เช่น

- ความเชื่อเรื่องการเขียนตอบข้อสอบด้วยลายมือสวยๆ ใช้ปากกาสีเยอะๆ และเติมคำว่า ค่ะ, คะ เข้าไปบ้างเพื่อให้อาจารย์แกเข้าใจว่าผู้สอบเป็นผู้หญิงในวิชาหนึ่งของอาจารย์ตัวย่อ ส. เอกวิทโท คือแม่งเป็นความเชื่อที่ประสาทแดกมาก แต่เราก็ทำ และผลคือได้เอ อาจารย์แกจะสงสัยบ้างมั้ยว่าทำไมเซคแกแม่งมีแต่ผู้หญิงวะ พูดค่ะกันทุกคน 

- การเรียกชื่ออาจารย์สมมติว่าแกชื่อทศ แต่เราจะเรียกแกว่า ทซซี่ แล้วเมื่อวันเรียนจบ เราอยากถ่ายรูปกับอาจารย์ เพื่อนคนหนึ่งจึงพูดเสียงดังต่อหน้าอาจารย์แก "เฮ้ยพวกมึง มาถ่ายรูปกับทซซี่กัน"

- การกวนตีนอาจารย์ บจ. รุ่นใหญ่เอกฟิล์ม ที่แกก็อายุเยอะแล้ว แต่ก็ไปกวนแก และเหมือนแกจะไม่เคยตามทันซักมุข เป็นทุกข์ของนักศึกษาไป 

อาจารย์ของเราก็คงอยากระบายเหมือนกัน เพราะพวกมึงเฮี้ยนกันเหลือเกิน

อย่างที่สองที่นึกถึง ก็คือตัวเอง ว่าเราเคยทำผิดคิดชั่วเอาไว้แค่ไหน เราก็ว่าเราไม่ใช่นักศึกษาดีเด่นอะไร แต่อ่านวีรกรรมของน้องๆ ในหนังสือแล้วรู้สึกว่าตัวเรานี้โคตรเนิร์ด การบ้านวิชาไหนที่ชอบก็จะทำแบบตั้งใจไม่แคร์คะแนน ขอให้กูได้ทำเถอะ ส่วนวิชาไหนที่ไม่ชอบก็จะเอาเท้าเขี่ยๆ ให้มันจบๆ ไป ไม่หวังคะแนนอีกเช่นกันเพราะงานห่วยขนาดนั้น เลยแก้ตัวแทนน้องในคลาสพี่ต่อบางคนที่เผางานมาส่งว่า มันอาจจะเป็นวิชาที่เขาไม่ชอบก็ได้ 55555

อาจจะเป็นความซวยของพี่ต่อด้วยส่วนหนึ่งที่ไปสอนพวกเด็กเอกฟิล์มด้วยแหละ เรารู้สึกเอาเองในฐานะเด็กเอกฟิล์มคนนึงเหมือนกัน คือเด็กเอกนี้แม่งปกครองยาก ไร้ระเบียบวินัย ประสาทแดก กวนตีน อัตตาสูง ติสต์แตก แต่น่ารักนะ (เข้าข้างตัวเอง) มันไม่เท่เหมือนพวกเอกโฆษณา ออกไปทางคนบ้ามากกว่า มันเลยมีโอกาสสูงที่จะเจอวีรกรรมเฮี้ยนๆ แบบที่น่ารักก็อย่างเช่นน้องแปดบิท (ที่แม่งตลกมากหัวเราะพุ่งเลย) หรือการเอาจริงเอาจังกับการตั้งชื่อกลุ่ม (ที่เชื่อว่าวัยรุ่นทุกคนต้องผ่านโมเมนท์จริงจังทำเพื่อแบบนี้) ส่วนแบบที่ไม่ค่อยน่ารัก ถ้าเป็นเราเจอเองก็คงหงุดหงิดไม่น้อยก็เช่นพวกโกหกนู่นนี่, โทรมาตื๊อขอเกรด หรือก๊อปงานมาส่ง ชีวิตอาจารย์นี่เจอหลายรสชาติจริงๆ

มันมีความเศร้านิดๆ ต่อระบบการศึกษา และภาพนักศึกษาที่ผิดจากความคาดหวัง ซึ่งเราก็เคยเป็นแบบนั้นแหละ แต่พอมองกลับไปแล้วรู้สึกว่าทำไมกูโคตรเด็กและงี่เง่าจังวะ รู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่โตพอที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัย เคยทำงานกับนักศึกษาปีสามปีสี่อยู่พักนึง บางทีก็อิจฉาพวกน้องมากว่า เออพวกมึงเก่งจัง แต่ก็มีอีกหลายวูบที่อยากจะดีดสะดือทำโทษในความโคตรเด็กของน้องๆ แบบเฮ้ แกติดต่อเรื่องงานกับบริษัทจริงๆ อยู่นะเฟ้ย ต้องเอาใจพวกน้องขนาดนั้นจริงอ่ะ

ฝีปากพี่ต่อยังคงคารมคมกริบเหมือนเดิม แม้จะไม่มันส์หยดเท่าการติดตามอ่านในเฟซบุ๊กก็ตาม (คงโดนเซนเซอร์ไปเยอะสินะ) แต่ก็สนุกอยู่ดี อ่านเพลินๆ รวดเดียวก็จบ นี่ว่าจะเอาไปขายต่อในอีเบย์ละ เพราะตามหาหนังสือในร้านยากเหลือเกิน

ล้อเล่น...




The Good Luck of Right Now: คนไม่ฉลาดที่เรารัก

The Good Luck of Right Now 
(Matthew Quick, 2014, 3.5/5) 


The Good Luck of Right Now เล่าเรื่องของบาร์โธโลมิว นีล (ฺBartholomew Neil) ในวัย 38 ปี เขาเป็นคนทึ่มๆ (ไม่รู้จะแปลคำว่า Single-minded ยังไงให้ไม่น่าเกลียด) ไม่เคยทำงาน อยู่บ้านกับแม่ผู้เป็นคาธอลิคที่ดีคนหนึ่ง เขาและแม่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ไม่เคยขาด ต่อมาแม่เริ่มป่วยเป็นมะเร็งในสมอง ในช่วงสุดท้ายของชีวิต แม่เรียกเขาว่าริชาร์ดตลอดเวลา คำพูดสุดท้ายก่อนจากไปก็ยังมองหน้าเขาแล้วพูดชื่อริชาร๋ด เมื่อไปรวมกับจดหมายของ ริชาร์ด เกียร์ ที่เขาเจอในลิ้นชักกางเกงในของแม่ และการที่แม่ชอบนั่งดูหนังของริชาร์ด เกียร์กับเขา เขาก็เลยคิดว่าแม่เป็นติ่งและจิ้นตัวเองว่าใช้ชีวิตอยู่กับดาราคนโปรด อันเป็นผลจากเนื้อร้ายที่กดทับสมอง 
หลังจากนั้นมา เขาก็เลยถือว่าริชาร์ด เกียร์ คือเพื่อนคนเดียวที่มี และเขียนจดหมายถึงไม่เคยขาด เป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาตัวเอง เหมือนหาเพื่อนคุยว่างั้น เขาเล่าทุกสิ่งที่ถ้าแม่อยู่เขาคงเล่าให้ฟังให้ริชาร์ด เกียร์ฟัง เนื้อหาในจดหมายก็จะพูดถึงชีวิตของเขาหลังการจากไปของแม่ และกองทัพคนบ้าบอที่เข้ามาพัวพันในชีวิต การเยียวยาซึ่งกันและกันเองระหว่างคนที่มีรอยปรักหักพังเหมือนกัน และการเดินทางไกลเพื่อไปหาชุมชนแมวจรจัดที่แคนาดา 

จนถึงจดหมายฉบับสุดท้าย ที่เขาตั้งใจว่าจะเลิกเขียนถึงริชาร์ด เกียร์อีกแล้ว

The Good Luck of Right Now อุดมไปด้วยตัวละครที่ผุพังแต่เราจะรักพวกเขา บาร์โธโลมิว เป็นชายบื้อที่มีมุมมองต่อโลกน่าเอ็นดู, คุณพ่อ McNamee บาทหลวงที่สึกออกมาแล้วกินเหล้าหนักพอๆ กับที่คุกเข่าอธิษฐาน, แม็กซ์ เพื่อนจากกลุ่มบำบัดที่สบถคำว่า "ฟัค" รวมๆ กันเยอะกว่าคำว่า Is ในหนังสือ, เวนดี้ นักบำบัดที่อาการหนักกว่าบาร์โธโลมิว พวกเขาบ้า พวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขาทำในสิ่งที่เราจะไม่ทำ แต่เราจะรักและเอาใจช่วยพวกเขา

ชีวิตที่เจอแต่เรื่องร้ายซ้ำซากจนไม่รู้จะปลอบตัวเองยังไงแล้ว เลยคิดซะว่ามันเป็นโชคดี ไม่ใช่ที่เกิดกับตัวเรา แต่มันต้องเกิดกับใครที่ไหนซักที่ เมื่อมีเรื่องร้ายเกิดกับเราหนึ่งครั้ง ก็จะมีคนเจอเรื่องดีหนึ่งครั้งพร้อมๆ กับเรา เป็นไอเดียที่มองโลกในแง่ดีจนน่าหมั่นไส้ เราอาจจะคิดแบบนี้ไม่ได้ทุกครั้งที่ประสบความซวย แต่มันก็อาจจะช่วยฝึกให้เราคิดถึงคนอื่นมากขึ้นก็ได้ และเมื่อวันไหนที่เราโชคดี เราก็จะนึกขึ้นมาว่า ที่อีกมุมโลกคนมีคนซวยเพื่อเราอยู่ คือไอเดียคร่าวๆ ของคำว่า The Good Luck of Right Now ที่จริงในหนังสืออธิบายเอาไว้มีชีวิตชีวากว่านี้มาก อย่างไรคงต้องไปอ่านกัน

Matthew Quick เป็นคนที่เขียนเรื่องมนุษย์บวมๆ ได้มีชีวิตชีวาน่าเอ็นดู เขาเล่าเรื่องเศร้าน่าปวดใจผ่านสายตาของมนุษย์ผู้บกพร่อง ที่ยังพอมองเห็นแง่งามของมันบ้าง แต่มันก็ยังเศร้าอยู่ดี ตัวละครที่เขาสร้างมีบาดแผลเต็มตัว มีความบกพร่อง แต่เราได้เห็นความพยายามที่จะใช้และมีชีวิตของคนพวกนั้น มันพิลึกๆ บ้างแต่อย่างน้อยก็เพื่อให้ชีวิตได้เดินไปข้างหน้า การตัดสินใจบางอย่างของคนป่วยยังดูสมเหตุสมผลกว่าคนธรรมดาๆ ชีวิตพวกเขาดูเรียบง่ายมากแต่เราจะได้เห็นด้านที่หนักหนากว่าที่พวกเขาจะได้วิถีชีวิตธรรมดามาได้

จังหวะในตัวอักษรของ Quick มันจะไม่ควิกเหมือนนามสกุลแก กล่าวคือมันจะไปอย่างเนิบๆ บรรยายไปเรื่อยๆ ด้วยถ้อยคำที่ง่ายที่สุด อาจจะเป็นเพราะเขาเขียนแทนตัวของบาร์โธโลมิวที่ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ต่อให้ไปถึงเหตุการณ์หักเห จุดเปลี่ยน เรื่องร้าย เรื่องน่าตื่นเต้น โทนเสียงของเรื่องก็ยังเหมือนเดิม บางประโยคมันเป็นความคิดที่ฉลาดมากแต่ถูกเขียนโดยคนโง่และน้ำเสียงมันก็ดูโง้โง่ แต่มันฉลาด เราถึงรักตัวละครนี้ พอๆ กับที่เราเคยรักแพท ใน Silver Linings Playbook มาก

แพทเคยเยียวยาตัวเองด้วยความรักความเข้าใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง ส่วนบาร์โธโลมิวนั้นกำลังสร้างทุกอย่างจากการสูญเสียครอบครัวที่เคยมี 

เห็นข่าวว่าเรื่องนี้จะมาทำเป็นหนังโดย DreamWorks ซึ่งถ้าไม่ผิดโผก็จะได้ Jonathan Dayton + Valerie Faris จาก Little Miss Sunshine มากำกับ เขียนบทโดย Mike White (School of Rock, Nacho Libre) และมี Brie Larson (Don Jon) รับบทอลิซาเบธ อาสาสมัครในห้องสมุดที่บาร์โธโลมิวแอบชอบ 

นี่อยากรู้เลยว่าใครจะได้เป็นบาร์โธโลมิว...


หมายเหตุ: ใช้รูปปกเวอร์ชั่นนี้เพราะเล่มที่อ่านเป็นปกนี้ และชอบปกนี้มากกว่าอันสีฟ้า



The Beginning of Everything: เรื่องร้ายส่วนตัว

The Beginning of Everything
(2013, Robyn Schneider, 2/5) 


มันเป็นหนังสือหน้าปกสีเหลือง (พนิตชนกแพ้หนังสือปกสีเหลือง) ชื่อหนังสือเป็นสีฟ้าและเป็นฟอนท์ที่ถูกจริตตัวเรา พอพลิกไปอ่านเรื่องย่อที่ปกหลังก็เฮ้ย ดราม่า ... เด็กผู้ชายโกลเด้นบอย หน้าตาดี เรียนดี เล่นเทนนิส เท่ๆ คูลๆ เสือกชีวิตเปลี่ยนตอนก่อนจะขึ้นม.6 เพราะว่าแฟนนอกใจ และตัวเองก็ประสบอุบัติเหตุจนขาพัง ... เลยซื้อมาอ่านเลย มันต้องเป็น Young Adult ที่เข้มข้นพอๆ กับ The Fault in Our Stars แน่ๆ 

แต่สุดท้าย The Beginning of Everything ก็เป็น YA ที่อ่านพอให้จบไปได้อีกเรื่อง จริงๆ ช่วงเปิดเรื่องมันดีมากเลยนะ ประสบการณ์สยองบนรถไฟเหาะของ Toby เพื่อนสนิทในวัยเด็กของ Ezra (โกลเด้นบอยที่ว่า) เขียนมาดีเลย มันไปไกลกว่าการเป็น YA แต่พอเข้าช่วงกลางๆ นี่ต้องอาศัยแรงจูงใจให้อ่านต่อไปสุดๆ แบบจะถอดใจไม่อ่านแล้ว แต่อีกภาคของจิตก็จะบอกว่า ตอนท้ายมันต้องมีอะไรมึง ตอนท้ายมันต้องมี แล้วก็จบแบบเอาตัวรอดไปได้ สองสามบทสุดท้ายนี่เข้มข้นมากจนถึงขั้นที่ว่าอ่านจบแล้วซึม

คือพอหลังจาก Ezra เจอจุดเปลี่ยนใหญ่ๆ หลังอุบัติเหตุครั้งนั้น ชีวิตปีสุดท้ายที่โรงเรียนของเขาก็เปลี่ยนไป จากเด็กที่นั่งโต๊ะเซเลป มีเพื่อนเป็นนักกีฬา มีแฟนเป็นชะนีฮอทๆ ของโรงเรียนตามสูตรหนังไฮสคูลเป๊ะ Ezra ไปเข้าชมรมดีเบต มีเพื่อนเป็นเด็กเนิร์ดที่มีความเท่ในระดับนึง และแน่นอน ต้องมีแฟนเป็นสาวเนิร์ดที่ฉลาดผู้เปิดโลกใหม่ให้เขา (เชยยยยยยยมากกกกกกก) แต่คาแรกเตอร์ของ Ezra มันเป็นคนที่ EQ ดีเกินไปไง คือเป็นเด็กที่เข้าใจโลกมาก ดูไม่ดราม่าอาลัยอาวรณ์ต่อความโด่งดังที่สูญเสียไปแต่อย่างใด ได้เป็น Homecoming King ก็เฉยๆ อีกทั้งชะตากรรมของเขาก็ไม่ได้ดราม่าสุดโต่งแบบชีวิตพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า ไม่ได้โดน Bully เพื่อนๆ ก็ดูเข้าอกเข้าใจดี เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมช่วงกลางเรื่องมันถึงน่าเบื่อ เพราะมันไม่มีประเด็นอะไรให้เกิด Conflict ทั้งนั้นเลย ตัวละครที่ฉลาดเกินไปนี่มันน่าเบื่อจริงๆ

หนังสือพูดถึงเรื่อง personal tragedy คนเรามันต้องมีเรื่องชิบหายซักเรื่องแหละเกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องนั้นมันต้องแรงมากพอที่จะเป็นจุดเปลี่ยนช่วงนึงของชีวิตได้เลย แล้วชีวิตเราหลังจากนั้นจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอันนั้นยังไง ไอ้ความชิบหายนั่นเกิดขึ้นบางทีแค่พริบตาด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เกิดตามมาเราต้องอยู่กับมันไปอีกทั้งชีวิต เราจะเป๋ใน หาหลักไม่เจอในช่วงแรก แต่เราจะเป๋ไปตลอดชีวิตเลยรึเปล่า ระยะเวลาในการฟื้นตัวของเรามันนานแค่ไหน เราจะลอยขึ้นมาเหนือมันหรือจะปล่อยให้มันจมทับตัวเรา เป็นเงาที่ไม่มีวันหายไป ทั้งหมดนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราเจอไอ้ความชิบหายที่ว่านั้นแล้ว 

Ezra จึงเป็นตัวแทนของคนที่ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่...





"The world breaks everyone, and afterward, some are strong at the broken place."
- Ernest Hemimgway

New York 1st Time : แบบ เบ๊น เบ๊น


New York 1st Time 
(ธนชาติ ศิริภัทราชัย, สำนักพิมพ์แซลมอน, 2557)


(พยายามเขียนเป็นข้อๆ แบบเบ๊น ธนชาติ)

- เบ๊น ธนชาติเป็นคนที่เวลาคุยด้วยเหมือนต่อยมวย คือจะต้องสวมการ์ดตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหน ความทีเล่นทีจริงของมันทำให้เราประสาทแดกได้ บางทีเราไม่แน่ใจว่าที่มันถามนี่มันต้องการคำตอบจริงๆ หรือให้กูเล่นมุขกลับ ทำให้ส่วนใหญ่แล้วเวลาคุยกันมักจะไม่ได้สาระอะไร แต่ได้ลับสมองสุดๆ

- เคยอ่านสิ่งที่เบ๊น ธนชาติเขียน จำพวกมุขควายในวันก่อนครับ, บทหนังที่มันเขียน, นิยายอีโรติก เรทอาร์ (ไม่มี) และการอัพเดทสถานะในเฟซบุ๊กเป็นครั้งคราว เบ๊นเป็นคนเล่าเรื่องสนุก มีจังหวะ ชั้นเชิง หลอกล่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือแม่งชอบสะกดคำผิด จนอยากจะเดินไปตบไหล่ แล้วบอกว่า กูปรู๊ฟให้ก่อนมั้ย 

- แล้วก็มาถึงวันที่เบ๊น ธนชาติ เขียนหนังสือของตัวเองอย่างเป็นจริงเป็นจัง 

- New York 1st Time เล่าประสบการณ์ครั้งแรกๆ ของนายเบ๊น ธนชาติ ผู้หอบเสื้อผ้าและกางเกงในไปเรียนปริญญาโทที่นิวยอร์ค อ่านเรื่องราวของธนชาติเพลิดเพลินทำสถิติสองชั่วโมงจบ อดทำการบ้านกับสามีไปหนึ่งคืน

- ชีวิตที่โชคดีคือชีวิตที่พาตัวเองไปเจอเรื่องราวสารพัดสารเพดีชั่วปนกันไป แล้วเก็บกลับมาเป็นวัตถุดิบให้ตัวเองได้ ธนชาติเป็นคนโชคดีคนนั้น หลายเรื่องที่มันเจออาจเล็กน้อย อาจเป็นเรื่องที่ข้ามไปก็ได้สำหรับบางคน แต่ธนชาติเอามันมาเป็นเรื่องได้ 

- แรกๆ ธนชาติเล่าเรื่องเมืองนิวยอร์คให้เราผู้อยู่ไกลจินตนาการตาม มันเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาดี ทั้งเหี้ย ทั้งเท่ ทั้งเก๋ ทั้งดี ปะปนกันไป ไม่ได้ให้ข้อมูลละเอียดยิบเหมือนหนังสือท่องเที่ยว แต่อ่านแล้วรู้สึกความฝันมันทำงาน อยากจะไปเยี่ยมมันที่เมืองนั้นซักครั้ง 

- แต่อ่านไปเรื่อยๆ เราไม่ได้โฟกัสไปที่นิวยอร์คแล้ว เมืองเป็นแค่ฉากหลัง แต่ตัวละครหลักคือเรื่องของชีวิตตัวมันเองในเมืองนั้น ว่ามันต้องอยู่ยังไงให้อยู่ได้ ปรับตัวยังไง มองเมืองนั้นยังไง เข้ามาเป็นบันทึกของธนชาติในฐานะปัจเจกที่มองเห็นเมืองผ่านสายตาวัยรุ่นเอเชียตัวไม่สูงใหญ่ใส่แว่น และวิธีการที่ธนชาติอยู่กับเมืองและคน

- ธนชาติเป็นคนเก่ง เรารู้สึกแบบนั้นมาตลอด

- แต่ความเก่งมันไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หนังสือเล่มนี้ที่มันเขียนเองทำให้เราเห็นมุมก่อนที่มันจะเก่งว่ามันทำยังไง เราทึ่งนะที่มันฝึกภาษาอังกฤษทุกคืน, ขยันไปดูงานศิลปะ, เข้าโรงหนังเป็นว่าเล่น, ทำการบ้านหนัก, ฝึกวินัยตัวเองให้ออกไปวิ่งและออกกำลังกายทุกวัน ฯลฯ รายละเอียดพวกนี้ทำให้เรารู้ว่า อ๋อ ที่มันเก่งเพราะว่ามันทำงานหนักเว้ย มันทุ่มเทเว้ย แล้วก็เป็นแรงให้เรารู้สึกขึ้นมาว่า เราอาจจะต้องมีวินัยให้มากขึ้น ฝึกฝนให้มากขึ้น 

- ถือได้ว่า ธนชาติมาปลุกพลังฮึดในตัวคุณ ขอบคุณนายมาก

- เชื่อว่ามีคนรักตัวหนังสือที่ธนชาติเขียนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน และนายคงเขียนหนังสือออกมาได้อีกหลายเล่ม จะติดตามผลงานของนาย

- ยาคูลท์ถ้าอยู่นอกตู้เย็นจะบูดง่าย

- จบ.



ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย : ความทรมานของการอ่านประวัติศาสตร์


ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย
(คริส เบเคอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร, สำนักพิมพ์มติชน, 2557) 




ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดให้เราเห็นในปัจจุบันล้วนเป็นผลพวงที่พ่วงตามมาจากรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยในอดีต หนังสือไล่ไต่เหตุการณ์มาตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มสร้างชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปตามประสามนุษย์สมัยนั้น จนกลายเป็นสังคมที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เข้าสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ และตัวละครที่ปรากฎก็ค่อยๆ หลากหลายและมีสีสันขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ อาจจะมีแค่ชื่อเจ้าผู้ปกครอง ขุนน้ำขุนนางชั้นสูง ตระกูลใหญ่โต แต่ยิ่งเขยิบเข้าสู่สมัยใหม่ ตัวละครที่เป็นประชาชนคนธรรมดาเริ่มมีที่ทางของตัวเองในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ แค่พัฒนาการของการเล่าถึงตัวละครผ่านยุคสมัย ก็สะท้อนอะไรในสังคมไทยได้มาก

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์หนาเตอะที่เล่าเหตุการณ์แบบละเอียดถี่ยิบ แต่กลับแยกแต่ละเหตุการณ์เป็นท่อนๆ มองไม่เห็นความเชื่อมต่อแบบที่เราเคยเรียนมา สมัยเรียนเราจำ พ.ศ. เพื่อตอบข้อสอบ และจึงปรามาสว่าการจดจำ พ.ศ. ไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต แต่ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้ พ.ศ. จะไม่ใช่ยาขม ไม่ใช่เรื่องที่ต้องจำ แต่เราจะอยากจำและจำได้ เพราะว่ามันจะแสดงความเชื่อมโยงจากฉากต่อฉาก ทำให้เรามองเห็นเหตุการณ์ภายในบ้านเรามันเกิดขึ้นช่วงใดของประวัติศาสตร์โลก คนอื่นเขาไปถึงไหนแล้วเราทำอะไรอยู่ การจดจำปีมันน่าจะสำคัญตรงนี้มากกว่า

เมื่ออ่านจบ ก็รู้สึกอยู่สองสามอย่าง คือ ทำไมบางเรื่องเราถึงไม่เคยรู้มาก่อน ทำไมเขาไม่สอน หรือทำไมเขาไม่สอนเราแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าอายเลย อย่างที่สองคือเสียดาย ในบางช่วงเวลาที่มันจะดีจะดีแล้ว แต่มันก็พลิกต่ำลงเหวไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความต้องการอำนาจของทุกฝั่ง ฝ่าย ไม่มีใครเป็นพระเอกที่แท้ และไม่มีตัวร้ายที่ถาวร และอย่างที่สามคืออยากรู้เพิ่ม ซึ่งหนังสือก็เตรียมเชิงอรรถเอาไว้ให้เราไปค้นต่อแบบไม่อั้น และอีกนัยหนึ่ง ก็ทำให้เราเชื่อถือได้จริงๆ ว่านี่เป็นงานเขียนเชิงวิชาการที่ผ่านการค้นคว้ามาเป็นอย่างดี ไม่ได้เขียนขึ้นด้วยพื้นฐานของอคติหรือทำนองว่า "ผู้ชนะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์" แต่ประการใด

เราอาจจะอยากหยุดบางช่วงเวลาแห่งความโชติช่วงเอาไว้ อยากช่วยเหลือ ให้กำลังใจ เอาใจช่วยคนบางคนที่กำลังคิดและทำสิ่งดี แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งอ่านบันทึกเหล่านั้นตาปริบๆ นั่นแหละ มันคือความทรมานของการอ่านประวัติศาสตร์...