(เนื่องจากเพิ่งหมดช่วงงานหนังสือ แล้วก็อ่านจบแบบรัวๆ ก็เลยอัพรวมรวดเดียวไปเลยละกัน เล่มไหนอยากเขียนยาวเดี๋ยวค่อยเขียนอีกที)
Made in Thailand 2
(2557, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, สำนักพิมพ์ a book)
แม้ว่าหลังๆ จะไม่ค่อยได้อ่านแล้ว แต่ทุกครั้งที่ซื้อ A Day ก็จะต้องตามอ่าน Made in Thailand ของพี่เต๋อ และขอบพระคุณมากที่ทำการรวมเล่มให้จะได้จัดเก็บได้อย่างสะดวก
พี่เต๋อเป็นนักเขียนหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจิกกัด แขวะ เสียดสี แดกดัน กระทบกระแทก กระแนะกระแหนได้โดยไม่ค่อยอยากโกรธแกเท่าไหร่ เพราะน้ำเสียงแกฟังดูจะหยอกล้อและน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะเข้าใจว่าแกมองกดใคร เป็นวิธีการเขียนที่ต้องศึกษาเป็นอย่างยิ่งเพื่อเป็นประโยชน์ในการหลอกด่าคนแบบเนียนๆ แล้วเค้าไม่เจ็บช้ำน้ำใจ (มันดีเหรอวะ)
ที่รู้สึกเป็นเกียรติมากคือการได้มีชื่อตัวเองอยู่ในหนังสือพี่เต๋อ ในฐานะผู้แนะนำคลิป "เอากันในน้ำ" ปรากฏในบทที่สองของหนังสือเล่มนี้ รู้สึกภาพลักษณ์ตัวเองดีมาก ที่วันๆ ก็เปิดคลิปดูคนเอากันในน้ำแถมยังแชร์ขึ้นหน้าวอลล์ตัวเอง สมเป็นวัยรุ่นไทยหัวใจค่านิยม 12 ประการดีจริงๆ เลยเรา
------------------------------------------------
Japan Gossip เมาท์ญี่ปุ่นให้คุณยิ้ม
(2557, เกตุวดี, สำนักพิมพ์มติชน)
ชอบอ่านงานเขียนของคุณเกตุวดีใน Marumura เลยซื้อหนังสือแกมาอ่าน แต่กลายเป็นว่าเหมือนเนื้อหามันใช้ความสามารถคุณเกตุวดีไม่หมดอ่ะ แบบแกดูมีคอนเทนท์เยอะมาก และเราก็อยากฟังแกเล่าเรื่องญี่ปุ่นในมุมมองของคนในมากๆ แบบเรายินดีที่จะอ่านตัวหนังสือพรืดๆ ที่เขียนโดยคุณเกตุวดีโดยไม่มีทางบ่น แต่เล่มนี้มันออกแนวหนังสือแนะแนว ฮาวทูนิดๆ เหมาะกับคนที่จะไปทำงาน ไปเรียน หรือต้องร่วมวงสังคายนากับคนญี่ปุ่นบ่อยๆ แต่จริงๆ นะ มันลึกกว่านี้ได้อีกอ่ะ เขียนอีกเถอะค่ะ เอา Text เยอะๆ เลย เรารออ่านอยู่
------------------------------------------------
เอ๊ะ!! เจป๊อป A GUIDE TO JAPANESE POPULATION
(2557, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน)
ชอบเนื้อหาของเล่มนี้มากกว่าสองเล่มที่แล้ว (เอ๊ะ เจแปน, เจแปน Did) ไม่ได้แปลว่าสองเล่มที่แล้วไม่ดีนะ แค่เราอินหลายๆ เรื่องในเล่มนี้มากกว่า อาจจะเป็นเพราะมันเริ่มเป็นกลุ่มคนที่ธรรมดาแล้วอ่ะ แบบเด็กนักเรียนมัธยม, คุณแม่บ้าน, ตำรวจ ฯลฯ มันรีเลทกับเราดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมให้คะแนนเล่มนี้มากกว่าเล็กน้อย
ขอสถาปนาตนเองเป็นแฟนหนังสือของคุณนัทคุง ขอให้เขียนต่อไป ยังไม่หมดหรอกกลุ่มคนทั้งหลายในญี่ปุ่น จริงๆ อยากให้เขียนถึงพวกละครและหนังด้วย หวังว่าจะได้อ่านในเล่มต่อไปและต่อไป :)
The Beginning of Everything
(2013, Robyn Schneider, 2/5)
มันเป็นหนังสือหน้าปกสีเหลือง (พนิตชนกแพ้หนังสือปกสีเหลือง) ชื่อหนังสือเป็นสีฟ้าและเป็นฟอนท์ที่ถูกจริตตัวเรา พอพลิกไปอ่านเรื่องย่อที่ปกหลังก็เฮ้ย ดราม่า ... เด็กผู้ชายโกลเด้นบอย หน้าตาดี เรียนดี เล่นเทนนิส เท่ๆ คูลๆ เสือกชีวิตเปลี่ยนตอนก่อนจะขึ้นม.6 เพราะว่าแฟนนอกใจ และตัวเองก็ประสบอุบัติเหตุจนขาพัง ... เลยซื้อมาอ่านเลย มันต้องเป็น Young Adult ที่เข้มข้นพอๆ กับ The Fault in Our Stars แน่ๆ
แต่สุดท้าย The Beginning of Everything ก็เป็น YA ที่อ่านพอให้จบไปได้อีกเรื่อง จริงๆ ช่วงเปิดเรื่องมันดีมากเลยนะ ประสบการณ์สยองบนรถไฟเหาะของ Toby เพื่อนสนิทในวัยเด็กของ Ezra (โกลเด้นบอยที่ว่า) เขียนมาดีเลย มันไปไกลกว่าการเป็น YA แต่พอเข้าช่วงกลางๆ นี่ต้องอาศัยแรงจูงใจให้อ่านต่อไปสุดๆ แบบจะถอดใจไม่อ่านแล้ว แต่อีกภาคของจิตก็จะบอกว่า ตอนท้ายมันต้องมีอะไรมึง ตอนท้ายมันต้องมี แล้วก็จบแบบเอาตัวรอดไปได้ สองสามบทสุดท้ายนี่เข้มข้นมากจนถึงขั้นที่ว่าอ่านจบแล้วซึม
คือพอหลังจาก Ezra เจอจุดเปลี่ยนใหญ่ๆ หลังอุบัติเหตุครั้งนั้น ชีวิตปีสุดท้ายที่โรงเรียนของเขาก็เปลี่ยนไป จากเด็กที่นั่งโต๊ะเซเลป มีเพื่อนเป็นนักกีฬา มีแฟนเป็นชะนีฮอทๆ ของโรงเรียนตามสูตรหนังไฮสคูลเป๊ะ Ezra ไปเข้าชมรมดีเบต มีเพื่อนเป็นเด็กเนิร์ดที่มีความเท่ในระดับนึง และแน่นอน ต้องมีแฟนเป็นสาวเนิร์ดที่ฉลาดผู้เปิดโลกใหม่ให้เขา (เชยยยยยยยมากกกกกกก) แต่คาแรกเตอร์ของ Ezra มันเป็นคนที่ EQ ดีเกินไปไง คือเป็นเด็กที่เข้าใจโลกมาก ดูไม่ดราม่าอาลัยอาวรณ์ต่อความโด่งดังที่สูญเสียไปแต่อย่างใด ได้เป็น Homecoming King ก็เฉยๆ อีกทั้งชะตากรรมของเขาก็ไม่ได้ดราม่าสุดโต่งแบบชีวิตพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า ไม่ได้โดน Bully เพื่อนๆ ก็ดูเข้าอกเข้าใจดี เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมช่วงกลางเรื่องมันถึงน่าเบื่อ เพราะมันไม่มีประเด็นอะไรให้เกิด Conflict ทั้งนั้นเลย ตัวละครที่ฉลาดเกินไปนี่มันน่าเบื่อจริงๆ
หนังสือพูดถึงเรื่อง personal tragedy คนเรามันต้องมีเรื่องชิบหายซักเรื่องแหละเกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องนั้นมันต้องแรงมากพอที่จะเป็นจุดเปลี่ยนช่วงนึงของชีวิตได้เลย แล้วชีวิตเราหลังจากนั้นจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอันนั้นยังไง ไอ้ความชิบหายนั่นเกิดขึ้นบางทีแค่พริบตาด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เกิดตามมาเราต้องอยู่กับมันไปอีกทั้งชีวิต เราจะเป๋ใน หาหลักไม่เจอในช่วงแรก แต่เราจะเป๋ไปตลอดชีวิตเลยรึเปล่า ระยะเวลาในการฟื้นตัวของเรามันนานแค่ไหน เราจะลอยขึ้นมาเหนือมันหรือจะปล่อยให้มันจมทับตัวเรา เป็นเงาที่ไม่มีวันหายไป ทั้งหมดนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราเจอไอ้ความชิบหายที่ว่านั้นแล้ว
Ezra จึงเป็นตัวแทนของคนที่ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่...
"The world breaks everyone, and afterward, some are strong at the broken place."
- Ernest Hemimgway