พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ
พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของ ทรงจำของแมวกุหลาบดำ
(2559, วีรพร นิติประภา, สำนักพิมพ์มติชน)
ตรงหน้าคือทีวีที่ยังเล่นฉา ยภาพและเพลงซ้ำๆ ในช่วงนี้ เสียงเครื่องฉีดน้ำแรงดันสู งจากบ้านหลังตรงข้ามดังลั่น แม้นั่นจะเป็นเวลาใกล้สองทุ ่มแล้ว หยิบหนั
งสือสีไม่ดำสนิท ที่ปกมีรูปถ่ายน่าสนใจขึ้นม าอ่าน ท่ามกลางความโช้งเช้งที่รบก วน สุดท้ายอ่านไปได้ไม่ถึงบทดี ก็ต้องยอมแพ้ คิดว่าคงไม่ถูกโฉลกกับเล่มน ี้แน่ๆ
พอสามทุ่มกว่าน้ำอาบจนตัวหอ มด้วยกลิ่นสบู่ราคาถูกที่เร าชอบ แล้วจึงนั่งบนเก้าอี้โยกที่ อุตส่าห์เก็บเงินซื้อมาเพื่ อเอาไว้นั่งอ่านหนังสือโดยเ ฉพาะ ก่อนที่สองสามเดือนหลังจากน ั้นจะย้ายไปนั่งขดบนโซฟาแข็ งๆ ที่คอนโดเพื่ออ่านหนังสือแท น เก้าอี้โยกตัวนี้จึงเป็นเหต ุผลลำดับต้นๆ เสมอที่ทำให้อยากกลับบ้านใน วันหยุด เสียงเคาะคีย์บอร์ดก๊อกๆ แก๊กๆ จากเอกชัยที่นั่งง่วนทำงานอ ยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ไม่ได้รบกวนเรามากนัก จากนั้นจึงให้โอกาสหนังสือป กดำเล่มเดิมอีกที เริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น พลิกหน้ากระดาษคอยเอ็นดูหนู ดาวและยายศรี โดยไม่รู้เลยว่าพอพลิกหน้าเ ริ่มสู่บทต่อไป เราจะเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเ หาะที่กำลังไหลลงเบื้องล่าง อย่างรวดเร็วแบบที่เราคว้าเ กาะอะไรได้เราก็เกาะ รถไฟพาเราไหลลงสู่ความทรงจำ อันไม่ปะติดปะต่อ ขาดวิ่นครึ่งๆ กลางๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เศร้าจนอด จะร้องไห้ไม่ได้ไปหลายหน เราเหมือนเป็นดีเจอพี่อ้อยท ี่มีคนโทรมาเล่าเรื่องเศร้า ให้ฟังแบบไม่ได้หยุดพัก เป็นเรื่องเศร้าที่เราเข้าไ ปช่วยแก้อะไรไม่ได้ เพราะมันได้เกิดและจบไปแล้ว เขาแค่เล่าให้เราได้ทอดถอนห ายใจ ได้หม่นหมอง ก่อนจะพาเข้าสู่เรื่องเศร้า เรื่องใหม่ ใจคอทำด้วยอะไรกัน
ระหว่างอ่านก็มีภาพแว้บขึ้น มา เป็นตัวเราตอนเด็กๆ ในบ้านไม้ของคุณตาที่ระนองท ี่กลายเป็นของคุณป้าใหญ่ไปอ ีกที แม่เปิดอัลบั้มภาพเก่าๆ แล้วเล่าเรื่องโน้นนี้ให้เร าฟัง เล่าว่าแต่ก่อนอาก๋งมาจากไห น คุณตาทำโรงไม้หรืออะไรซักอย ่าง แล้วก็มีผิดใจกันระหว่างพี่ น้อง เลยแยกย้ายกันทำธุรกิจนับจา กนั้น คุณยายแต่งงานตั้งแต่อายุสิ บสองและมีลูกเก้าคน แม่ในตอนเด็กและพี่น้อง เลยมาจนถึงรุ่นลูกของพี่น้อ งแม่อีกที ทั้งหมดนี้เป็นประวัติศาสตร ์ของคนธรรมดา ที่มีเพียงภาพถ่ายและเรื่อง เล่าเท่านั้นที่จะบันทึกไว้ ไม่มีใครจะเสียเวลามาสืบเสา ะ ค้นหา และบันทึกประวัติศาสตร์ของค รอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งจากเป็นสิบเป็ นล้านครอบครัว เราจึงต้องเล่าสืบกันไปอย่า งนี้ แม้บางทีเรื่องเล่าของเราจะ เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ประกอบภาพเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เห็นในหนังสือประวัติศาส ตร์กระแสหลัก แต่มันก็จะไม่ได้สำคัญอะไร เป็นเพียงชิ้นส่วนที่มองไม่ เห็น เป็นเรื่องเล่าที่อาจจะจริง หรือไม่จริงก็ได้ เป็นสีสันให้ประวัติศาสตร์เ หล่านั้นสนุกขึ้นเล็กน้อย พอให้ขำขันแล้วคนก็จะลืมไป จนเมื่อไหร่ที่เกร็ดเล็กน้อ ยพวกนี้ได้เข้าไปอยุ่ในหนัง สือตำรานั่นล่ะ คนเขาถึงจะสนิทใจและเชื่อบู ชา
เรื่องเล่าของครอบครัวนายตง บนแผ่นดินสยามทำให้เรานึกถึ งตอนที่ให้อากงของเอกชัยเล่ าถึงบ้านที่เมืองจีนให้ฟัง ตอนนั้นคิดแค่ว่าสนุกดี แต่ระหว่างอ่านเล่มนี้ความร ู้สึกก็เพิ่มเติมขึ้น ที่ผ่านมาเรามองจากสายตาของ คนรุ่นที่ความเป็นคนไทยแทบจ ะถูกกลืนเป็นเนื้อเดียว เรารู้ว่าเพื่อนมีเชื้อสายจ ีนจากที่มันเรียกพ่อว่าป๊า เรียกปู่ว่าอากง นอกนั้นเราก็ตั้งโต๊ะไหว้วั นสารทจีนด้วยการเสิร์ชหาในอ ินเตอร์เน็ต และแชร์ข่าวพฤติกรรมตลกๆ ที่เกิดในเมืองจีนเหมือนกัน หนังสือเล่มนี้จึงทำให้เราไ ด้เข้าใจความคิดของคุณก๋ง คุณตาเราอีกนิด เรื่องราวคงไม่ได้ซ้ำกับนาย ตงเขาหรอก แต่มันคงมีความขมข่นบางอย่า งที่รสชาติไม่ต่างกันนัก
อันที่จริงผู้อ่านถือว่าได้ รับความปรานีจากคุณวีรพรผู้ เขียนมากแล้ว เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รับร ู้ชะตากรรมของหลายตัวละครไป จนถึงจุดจบ ปิดม่านฉากชีวิตของตัวละครน ั้นๆ ไปแบบไม่ต้องเหลือให้คาใจ แต่กับตัวละครที่มีชีวิตอยู ่ในเรื่องนั้นกลับไม่ได้รู้ ชะตากรรมของคนที่ผ่านเข้ามา เกี่ยวพันในชีวิตว่าสุดท้าย แล้วเราไปอยู่ไหน เป็นอย่างไร เหมือนเราในตอนนี้ ที่ถ้าเกิดนึกถึงชื่อเพื่อน สมัยประถมขึ้นมาได้ ก็จะเอาชื่อไปค้นหาจนเจอเฟซ บุ๊กแล้วเข้าไปส่องดูว่าเขา มีชีวิตที่สบายดี บางทีคนเราจากกันไปโดยไม่ได ้ชำระสิ่งที่คาใจต่อกัน ไม่ได้ติดตามข่าวสารชีวิตขอ งกัน เหมือนกับว่า ภาพสุดท้าย เสียงสุดท้าย ที่เราได้เห็นคนคนนั้น นั่นคือสุดสิ้นสุดชีวิตของเ ขาสำหรับเราไปแล้ว เราตายจากโดยไม่ได้เข้าใจต่ อกันอย่างถ่องแท้ โกรธเกลียดกันข้ามชาติเลยก็ มี ทั้งที่แค่อินบ็อกซ์ไปขอโทษ ขอโพย หรือนัดเจอเพื่อปรับความเข้ าใจในร้านดีนแอนด์เดลูกาก็น ่าจะทำให้เราไม่ต้องมีอะไรต ิดค้างใจกันไปได้
ผิ่งมุ่ยและจดหมายสิบหกหน้า จึงสะเทือนใจมากสำหรับเรา
ในสุดท้ายที่หนังสือให้ความ หวังและทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเ ล่า เหมือนให้เราเดินถอยหลังจนไ ม่รู้จะถอยยังไงเพราะด้านหล ังเป็นกำแพงดำทึบ แต่ยังมีความหวังอยู่หน่อยเ พราะยังพอมองเห็นช่องประตูท ี่มีแสงสาดเข้ามา หนังสือกลับจบลงโดยปิดประตู นั้นทิ้งเสีย เรามีความหวังทุกครั้งที่ได ้เห็นชีวิตกำเนิดใหม่ เด็กน้อยจะเป็นตัวแทนของอนา คตเสมอ ดังนั้นแม้เรื่องมันจะเศร้า แต่มันก็ยังหลงเหลือความหวั งไว้ให้เราทุกครั้ง ผ่านฮง ผ่านจรัสแสง ผ่านระพินทร์ ระริน และหนูดาว แต่เมื่อหน้ากระดาษสุดท้ายส ิ้นสุด เราก็พบว่าตัวเราอกหักเสียย ิ่งกว่าตอนที่ไปบอกชอบผู้ชา ยแล้วเขาไม่ชอบกลับ โดนทำลายความหวังจนหมดแรง ขนาดสิ่งสุดท้ายที่เหลือ ที่เป็นความชุ่มชื่นใจมาตั้ งแต่ต้น ยังโดนพรากเอาไปถึงขนาดนี้ นี่เราจะอ่านหนังสือความยาว สี่ร้อยกว่าหน้า ให้เขาเพียรทำร้ายแล้วทำร้า ยอีกทำไม (วะเนี่ย)
ยิ่งพอคิดว่า ยังมีเรื่องเล่าคู่เคียงไปก ับประวัติศาสตร์กระแสหลัก จากการเล่าสืบกันมาของครอบค รัวอีกเป็นหมื่นเป็นล้านเรื ่องเล่า ที่มีทั้งสุขและเศร้าคละเคล ้า เป็นเรื่องจริงของผู้คนที่พ ยายามจะมีชีวิตให้ผ่านพ้นเง ื่อนไขบรรดามีเท่าที่โลกในต อนนั้นจะหยิบยื่นให้ เท่าที่ชีวิตจะมอบกำลังให้ต ่อสู้ เท่าที่โชคชะตาจะอำนวยตามแต ่บุญกรรมและการสวดอ้อนวอน ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตจริงๆ แล้วมันเศร้านะ แต่ที่น่าเศร้ากว่า คงเป็นการที่เรื่องเศร้าไม่ ได้ถูกเล่า ไม่ได้ถูกพูดถึงหรือแม้แต่น ึกถึง เป็นชีวิตที่เกิดมาแล้วจากไ ปอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของใครห รืออะไร เป็นตัวละครที่ไม่มีใครให้ค วามสำคัญ
อย่างที่เราทำมาตลอด กับการไม่ให้คุณค่าความสำคั ญกับชีวิตเล็กๆ ในสายธารประวัติศาสตร์เลย
พอสามทุ่มกว่าน้ำอาบจนตัวหอ
ระหว่างอ่านก็มีภาพแว้บขึ้น
เรื่องเล่าของครอบครัวนายตง
อันที่จริงผู้อ่านถือว่าได้
ผิ่งมุ่ยและจดหมายสิบหกหน้า
ในสุดท้ายที่หนังสือให้ความ
ยิ่งพอคิดว่า ยังมีเรื่องเล่าคู่เคียงไปก
อย่างที่เราทำมาตลอด กับการไม่ให้คุณค่าความสำคั