รุ่นพี่
(2558, วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง, สถาพรบุ๊คส์)

โอ้โห สนุก มีความเป็นฟิควัยรุ่นที่ไม่น่าเชื่อว่าคุณวิศิษฏ์แกจะเขียนเอง แรกๆ ก็ยังต้องตั้งศูนย์อยู่หน่อย แต่พอเข้าที่ก็ยิงยาวได้เลย วิ่งตามเรื่องที่มันพาเราไป เหวี่ยงไปทางโน้นที ทางนี้ที ตามขนบของพลอทไล่ล่าหาฆาตกร ทิ้งปมไว้ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย จนไปถึงตอนท้ายที่ทุกอย่างคลี่คลาย ก็โอเค ไม่ได้ว้าวอะไร แต่ตลอดทางที่มามันสนุกดี
ชอบเงื่อนไขของการอยู่ร่วมกันของคนและวิญญาณในจักรวาลของคุณวิศิษฏ์ เล่ามากกว่านี้ไม่ได้ แต่มันเวิร์กทั้งในมุมน่ากลัว มุมสืบสวน และมุมโรแมนติก ส่วนบรรยากาศคอนแวนต์ กับวังเก่าหลอนๆ แม้จะทำให้นึกถึงเด็กหอ ปนๆ กับแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่ความที่เล่าผ่านมุมหญิงล้วน มันก็ได้ความอีกแบบนึง
ตอนเขียนแกคงมีภาพในหัวยุบยับเต็มไปหมด ขนาดมาแค่ตัวอักษรยังรู้สึกได้ว่าแกออกแบบโลกของวิญญาณ และภูตผีปิศาจในเรื่องนี้ไว้ละเอียดลออขนาดไหน รอคอยจะได้เห็นวิชวลพวกนี้ในหนัง คงจะเพลินตาดีไม่น้อย (และ CG คงต้องทำให้ดีด้วย) แต่แกเป็นคนวิชวลจัดอยู่แล้ว คิดว่าคงไว้ใจแกได้
ชอบการดีไซน์คาแรกเตอร์ของม่อน หรือ อทิติ กับความสามารถด้านกลิ่นของเธอ และคอนเซ็ปต์เรื่องการปิดเลเยอร์ของกลิ่นวิญญาณเทียบกับโปรแกรมโฟโตช็อป โอ้โห ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปรียบได้ดีเท่านี้อีกแล้ว ความสามารถอันนี้แม่งโคตรเท่และเนิร์ด ดีมากๆ
ด้วยเรื่องนี้มันมีทั้งโหมดพีเรียดและโหมดปัจจุบันเนาะ มันเลยกินประเด็นกว้างมาก ทั้งเรื่องชิงรักหักสวาท หักหลังแย่งสมบัติฆาตกรรมอำพรางสุดคลาสสิก มายันการ sanction และ cyber bully ในสังคมสมัยใหม่ หลายๆ อย่างมันอาจจะดูใหม่กว่านี้ ถ้าเมื่อหลายเดือนก่อนไม่ได้มีเพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอน 555 พอมาเจอบางประเด็นในรุ่นพี่ มันเลยไม่ตื่นเต้นแล้วอ่ะ เสียดายนิดนึง
ส่วนประโยคขายที่ว่า "ความยุติธรรม แม้แต่คนตายก็ต้องการ" จะมาสะดุดกึกก็ตอนที่แกเขียนถึงบางเหตุการณ์ไว้ในช่วงท้าย ทิ้งบอมบ์เล็กๆ เอาไว้ให้ได้คิดก่อนจบ พานให้ไปคิดถึงอีกหลายๆ เรื่องในสังคมทั้งช่วงนี้และช่วงก่อนหน้านี้ และคิดว่าในอีกหลายๆ ช่วงหลังจากนี้ ยังไงมันก็ต้องมีคนตายที่ต้องการความยุติธรรมอยู่ดี ความจริงใหม่หลายอย่างถูกสร้างฝังทับความจริงที่แท้ หรือปล่อยให้มันละลายไปกับเถ้ากระดูกที่ลอยทะเล ตราบใดที่เรายังไม่เคารพต่อความจริงกันอยู่ บิดเบือนความจริงกันอยู่ เสียงของวิญญาณที่เรียกร้องหาความยุติธรรมก็คงไม่มีวันเงียบลง
รอไปดูหนังด้วยใจจดจ่อ
สะใภ้จ้าว
(รจนา, พิมพ์ครั้งที่ 1 2510 สำนักพิมพ์รวมสาสน์, พิมพ์ครั้งที่ 5 2557, สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์)
จำได้ว่าแม่เคยเช่าเรื่องนี้มาให้อ่านสมัยที่ละครกำลังดัง อ่านหมดเลยทั้งนิยาย ทั้งเรื่องย่อละคร ตัวละครก็ดูแม่งทุกบททุกตอนจนแทบจะจำได้ เป็นละครที่ชอบมาก และรู้สึกว่ามันงดงามมากในทุกสิ่ง พอเห็นข่าวว่าจะเอาเรื่องนี้กลับมาทำใหม่ และให้พี่โป๊ป รับบทเป็นคุณชายรอง แม้จะค้านในใจเล็กน้อยว่าพี่โป๊ปต้องหยุดเล่นละครเป็นคุณชายได้แล้ว แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เรื่องที่ชอบกับพระเอกที่ชอบนี่มันช่างเหมาะเจาะลงตัว เอานิยายกลับมาอ่านอีกทีดีกว่า
ไปตามหานิยายในงานหนังสือถึงสองครั้งแม่งหาไม่เจอ เข้าไปที่บูธสำนักพิมพ์พิมพ์ดับเบิลนายน์ เจอคุณลุงแก่ๆ นั่งเฝ้าอยู่เหงาๆ เราก็ถามคุณลุงถึงสะใภ้จ้าว คุณลุงบอกว่าหมดแล้ว และทางเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ไม่ได้ให้ทางสำนักพิมพ์พิมพ์ต่อ ไม่รู้ว่าเจ้าไหนได้ไป แล้วลุงก็หันไปนั่งเหงาๆ เฝ้าร้านต่อ แม่งเป็นซีนที่เศร้ามาก
จนเพิ่งเมื่อวันก่อนนี่แหละ ที่ได้เห็นเล่มนิยายวางหราอยู่ในร้านหนังสือ พิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์ แหงล่ะ จะทำเป็นละคร ยังไงนิยายก็ต้องพิมพ์ใหม่อยู่แล้ว แต่ไม่ชอบปกเวอร์ชั่นนี้เลย คุ้นๆ ว่าปกเก่าเป็นสีขาวๆ เรียบๆ ถือแล้วไม่เขิน แต่ปกรอบนี้สีม่วงเด่นมาเลย พร้อมด้วยถ้วยผอบน้ำอบน้ำปรุงแอนด์พวงมาลัยวางหรา โอว โคตรเชย ไม่กล้าถืออ่านในที่สาธารณะ
เอาจริงถ้าให้เทียบตัวนิยายกับบทละครปี 2545 เราว่ายังไงก็ยังชอบบทละครมากกว่า มันมีรสชาติกลมกล่อมลงตัว สนุกและน่าติดตามมากว่า ถ้าไม่เทียบเรื่องความเฉพาะตัวของสื่อละครกับสื่อนิยายนะ ยังไงตัวเรื่องราวในบทละครมันเสริมเครื่องปรุงให้รสชาติมันหวือหวากว่าที่นิยายเล่าไปเยอะ ที่น่ารักสุดคือการผูกเอาความเป็นหนอนหนังสือของตัวละครในเรื่องมาเล่า ฉากโรแมนติกที่เป็นภาพจำหลายๆ ฉากถูกเล่าผ่านโควตจากหนังสือ หรือไม่ก็มีหนังสือเป็นส่วนเด่นในฉากเลย เช่นการบอกรักผ่านการอ่านนิทานเวตาล, หนังสือ บันเทิงทศวาร (Decameron) ในฉากจบของคู่พระ-นาง เป็นต้น อันเนี้ยมันน่ารัก มันละเอียด หาบทละครแบบนี้ในสมัยนี้ไม่ค่อยได้นะ ต้องมาลุ้นว่าเวอร์ชั่นปี 2558 จะเป็นยังไง
กลับมาที่ตัวนิยาย ไม่ได้มีหนังสือเป็นตัวชูโรง หรืออะไรหวือหวาแบบนั้นเลย เข้าใจว่าสะใภ้จ้าวเขียนขึ้นมาเพื่อวิพากษ์ "ความจ้าว" ตามมุมมองของคุณสุภาว์ เทวกุล ผู้เขียน (นี่เดาเอาว่าอาจจะมีกลิ่นของเรื่องจริงปนมานิดหน่อย เพราะผู้เขียนเธอก็แต่งงานกับ มรว. เหมือนสาลินในเรื่อง)
ความจ้าวในเรื่องถูกเมคฟันผ่านสาลิน นางเอกของเรื่อง ที่เอาจริงๆ เธอก็เป็นผู้ดีลูกครึ่ง คือคุณพ่อเป็นผู้ดีแต่คุณแม่เป็นชาวสวนเชื้อสายจีน เอาว่าก็เป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางบนนั่นแหละ สาลินโตมากับตายายที่สวนเมืองนนท์ เลยแก่นเซี้ยว เป็นผู้หญิงหัวสมัย ต่างจากศรีจิตราพี่สาว ที่ก็พ่อแม่เดียวกัน แต่ดันไปโตกับคุณป้าที่อบรมกันแบบชาววัง ทำให้ศรีจิตรากลายเป็นผู้หญิงเรียบร้อย ไม่กล้ามีปากเสียง ใครว่ายังไงเธอก็ว่าตาม ไม่ออกเสียงแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองเต็มๆ อย่างการแต่งงาน
ถ้าเทียบกับปริศนา สาลินก็คือปริศนา ค่อนไปทางสิรี ส่วนศรีจิตราคืออนงค์ อะไรแบบนั้นล่ะ
ความจ้าว คือความเจ้ากี้เจ้าการ บงการและขีดเส้นทางเดินให้ชีวิตคนอื่นโดยไม่ถามเจ้าตัวสักนิดว่าเขาต้องการหรือไม่ ด้วยคติที่ว่า ผู้ใหญ่มองเห็นแล้วว่าแบบนี้ดี แบบนี้เหมาะสม เดินตามทางนี้ไปจะปลอดภัยที่สุด เหมือนอย่างที่เสด็จป้าจัดแจงหาคู่หมั้นให้ชายรอง ส่งต่อไปที่คุณป้าที่ก็คิดให้เลยว่าเป็นศรีจิตราน่าจะดีที่สุด โดยไอ้คนที่จะแต่งงานทั้งคู่ไม่ได้มีโอกาสปริปากเถียง
แถมความจ้าวยังกลัวเสียหน้า เมื่อชายรองเดินเข้าไปบอกว่าจะไม่แต่งงานกับคนที่ตนไม่รัก ความอิหลักอิเหลื่อในช่วงนั้นเกิดเพราะเสด็จป้าไม่ลงมือทำอะไรด้วยเพราะกลัวเสียหน้า เป็นภาระให้รุ่นหลานต้องจัดการกันเอง ซึ่งผู้เขียนก็หาทางลงเอยให้เรื่องจบลงแบบสลับคู่ บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
ความจ้าวคือความไม่ทันสมัย ยึดกับระเบียบวิธี และค่านิยมเดิมๆ เช่น หน้าที่การงานที่ดีคือการรับราชการ พอรู้ว่าชายเล็ก ไปทำงานบริษัทน้ำมันของพวกฝรั่ง กลับค่อนแคะว่าไม่มีเกียรติ ทั้งที่ได้เงินเดือนมากกว่าทุกคนในบ้านรวมกันเสียอีก ต่างจากสาลิน ที่หาทางเรียนและทำงานเพื่อยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ เป็นนิยายยุคนั้นที่มองว่าคุณค่าของคนอยู่ที่การทำงาน อะไรแบบนั้นแหละ
ความจ้าวอีกอย่างคือเจ้ายศจ้าวอย่าง การที่คนธรรมดาจะ level up ขึ้นไปร่วมวงศ์ด้วยนั้นไม่ง่าย เหมือนตัวจรวย นางข้าหลวงที่ดันไปได้ คุณชายโต พี่ชายพระเอก เป็นสามี คิดว่าจะได้อัพเกรดชีวิต แต่กลายเป็นว่าความทะเยอทะยานของเธอต้องแพ้ให้กับการเมืองในวัง จริงๆ ถ้าสาลินไม่ใช่น้องสาวของคู่หมั้นเดิมของคุณชายรอง หรือไม่ได้มีเชื้อผู้ดิบผู้ดีเก่า เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ
อีกอย่างที่หนังสือผูกเอาไว้แต่คลายไม่สุด คือเรื่องของ พล เพื่อนที่ศาลาริมคลองของสาลิน ที่จริงๆ แล้วก็คือ "บดินทราชทรงพล" หรือคุณชายเล็ก พระรองของเรื่อง จำได้ว่าในบทละคร คุณชายเล็กจะออกแนวเป็นเพื่อนคู่คิดของสาลินมากกว่า ถ้าให้เทียบคงเป็นความสัมพันธ์แบบ นพกับปริศนา ที่คุยและปรึกษากันได้ทุกเรื่อง แต่ในนิยายดูเหมือนว่าจะวางให้ชายเล็กมีใจให้สาลินอยู่หน่อยๆ พอไปลงเอยกับศรีจิตรามันเลยแห้งๆ และยิ่งทำให้สงสารศรีจิตราหนักเข้าไปอีก เพราะขนาดตอนจะลงเอย เสียงในหัวเธอยังบอกแค่เพียงว่า เธอต้องการแค่คนที่จะมานำชีวิตเธอไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงความรักโรแมนติกอะไรแบบนั้นเลย
รวมๆ แล้วถึงจะรู้สึกว่ามันเป็นหนังสือที่เขียนเพื่อพูดเรื่องคุณค่าและความเท่ากันของมนุษย์ และเชิดชูความเป็นหญิง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังเป็นเรื่องของผู้ชาย อย่างในตอนท้ายส่วนคลี่คลายของเรื่อง จากเดิมสาลินที่เคยมีปากมีเสียง พอเป็นเรื่องตัวเองเข้าก็เงียบสนิท จ๋อยแดก จะได้แสดงออกเรื่องความรักและงานแต่งของตัวเองก็ไม่มี มันทิ้งไว้แบบห้วนๆ ยังไงไม่ทราบ และที่แน่ๆ พระเอกตัวจริงของเรื่องน่าจะเป็นคุณชายเล็กมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรคงต้องไปอ่านดู
ข้าบดินทร์
(วรรณวรรธน์, 2554, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม)
[14/2015]
ดูเหมือนจะเป็นนิยายรักชาตินะ (และคนเขียนเขาอาจจะตั้งใจแบบนั้น) แต่เราว่า "ข้าบดินทร์" เล่าในทางที่ต่างออกไป จนมีประเด็นอื่นโดดขึ้นมา และดีกรีความรักชาติมันไม่ได้เข้มข้นเหมือนนิยายแนวเดียวกันนัก มันเลยทำให้เรื่องนี้สนุก ร่วมสมัย และดูก้าวหน้ามากกว่า
หลักๆ เลยคือเพราะตัวเหม พระเอกของเรื่องนี่แหละ ที่ต่างไปจากพระเอกในนิยาย Genre เดียวกัน (โปรดนึกถึงพวกพี่ขุนไกร แห่งสายโลหิต อะไรทำนองนั้น) คือพระเอกในนิยายพีเรียดเนี่ย จะดีจะหล่อแค่ไหน แต่จะแพ้ทางชาติและแผ่นดินทันที ถ้าไม่ตายในสนามรบนี่โคตรไม่เท่ เกิดเป็นเมียพี่ขุนไกรแกต้องรับได้ถ้าสุดท้ายจะได้แต่ดาบผัวกลับมาเปล่าๆ เพราะผัวตายไปแล้วในสงคราม และตรงนั้นแหละที่คนดู/คนอ่าน จะซาบซึ้ง ประทับใจ ฟูมฟายกันเต็มที่
แต่กับเหม แม้จะมีวิชาดาบอาทมาต เก่งไปทุกอย่าง พูดภาษาวิลาศ (ภาษาอังกฤษ) ก็ได้ หน้าก็หล่อ ชาติตระกูลดี คือครบถ้วนทุกคุณสมบัติพระเอกพีเรียดไทย แต่เหมไม่ใช่พระเอกแบบขุนไกรที่จะพลีชีพเพื่อชาติอะไรแบบนั้น ถ้าไล่ไทม์ไลน์ชีวิตเหมดู จะพบว่า แรงขับเคลื่อนชีวิตเหมไม่ได้มาจากชาติหรือแผ่นดินอะไรเลย ครึ่งแรกคือมาจากความแค้นจนแปรเปลี่ยนเป็นความทะเยอทะยาน ส่วนครึ่งหลังพอโตแล้วคือเพราะอยากมีเมีย ไม่ใช่ว่าไม่รักนะ แต่เป็นความรักที่ Tricky หน่อยๆ (คือคำชม)
ถ้ามองแบบสมัยใหม่หน่อยคือ เหมฉลาดที่เอาตัวรอดได้ เป็นคน work-life balance น่ะ คือรักชาติก็รักนะ แต่ชีวิตส่วนตัวก็ต้องมีนะเฮ้ย เพราะเหมมีบทเรียนจากพ่อมาแล้วว่า ซื่อสัตย์ และตงฉินไปก็ตายฟรี แถมยังพาลูกเมียต้องมาซวยไปทั้งยวง บาดแผลนี้สำหรับเหมมันใหญ่มากจนทำให้เด็กหนุ่มใสๆ มองโลกกลับเป็นอีกมุมไปเลย เห็นชัดที่สุดคือการตัดสินใจของเหมในตอนท้ายเรื่อง ที่ทำให้เขาไม่ใช่พระเอกพีเรียดเท่ๆ ในนิยามแบบเดิม เป็นที่ทางใหม่ของพระเอกไทยอยู่นะ
ยิ่งตอนช่วงชีวิตเหมพลิกผันหน้ามือเป็นหลังตีนอ่านแล้วยิ่งคับแค้น และก็เห็นว่าระบบวรรณะนี่มันทำลายโอกาสคนไปมากเลย นักโทษปัจจุบันก็คือนักโทษถูกมั้ย ไม่มีอะไรต่ำไปกว่านั้น พ้นโทษออกมาก็มาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ แต่กับสมัยนั้น ที่ยังมีทาสมีไพร่ มันทำให้คนเราลืมตาอ้าปากได้ยากยิ่ง อย่างเหมที่อยู่ตรงชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ถูกถีบลงมาต่ำเตี้ยยิ่งกว่าพารามีเซียม ถ้าเป็นเราคงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะตะกายดาวกลับมายืนที่เดิมได้อย่างไร
แต่พอถึงคราวจะได้กลับมา คือช่วงเปลี่ยนผ่านนั่นก็หน้ามือเป็นหลังตีนอีกเช่นกัน คือเมื่อวานพี่เหมกูยังโดนดูถูก ค่อนขอดอยู่เลย พอได้กลับมารับราชการ มียศตำแหน่งนำหน้า กลายเป็นว่าทุกอย่างในชีวิตกลับมาหมดเลย วางแผนแต่งงาน สร้างบ้าน มีลูก ฯลฯ แค่นี้เลย แค่มียศ ได้เข้ามารับราชการ ชีวิตมีความหวังขึ้นมาง่ายๆ เสียอย่างนั้น ยิ่งคิดเยอะเลยว่าทุกวันนี้เรามาไกลมากๆ
ส่วนคาแรกเตอร์นางเอกไทยพีเรียดมันก็ยังฉีกไปไม่ได้มากเนอะ คือต้องเป็นเด็กแก่นเซี้ยว เข้าใจโลก สวยและแอบซ่อนความเฟมินิสต์เล็กๆ ยังไม่ค่อยเห็นมิติที่ต่างไปจากนี้เท่าไหร่ จริงๆ เราชอบคาแรกเตอร์ของ บัว ในเวอร์ชันละครมากกว่านิยาย คือเขาเขียนให้ชัดไปเลยว่าบัวเป็นผู้หญิงที่ทะเยอะทะยานสุดทางจริงๆ (ซึ่งมันอาจจะดูเกินไปซักหน่อยกับยุคสมัยนั้น) แต่เราจะไม่ค่อยพบตัวละครที่ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลแบบบัวในละคร/นิยาย ย้อนยุคเรื่องอื่นๆ นะ น่าสนใจดี
คุณูปการของหนังสือเล่มนี้ที่ดีที่สุดคือ ถ้าเราได้อ่านตอนอยู่มัธยมคงจะสอบวิชาสังคมได้คะแนนดีกว่านี้ ต้องยอมรับแหละว่าประวัติศาสตร์ช่วงนั้น (รัตนโกสินทร์ตอนต้น) มันไม่สนุก ไม่ค่อยรบราฆ่าฟัน ไม่ดราม่า ถ้าเป็นหนังคือหลับไปแล้ว แต่พอมาอ่านเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่บางท่าน เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ สมัยนั้น ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เราอยากหาอ่านต่อ อยากรู้เพิ่มขึ้น และที่แน่ๆ คือ เราแยกสนธิสัญญาเบอร์นี่ กับ เบาว์ริง ได้แล้ว (ขอบคุณข้าบดินทร์ /น้ำตาไหล)
โดยรวมคือเพลิดเพลินมากขณะอ่าน อาจเป็นเพราะผู้เขียนเป็นผู้หญิงด้วย จึงบันดาลให้ฉากรักของพี่เหมนั้นมันน่าหมั่นเขี้ยว ถูกอกถูกใจผู้หญิงด้วยกัน อีกอย่างคือเราห่างหายจากการอ่านนิยายมานาน อย่างเล่มใหม่ๆ จะอ่านก็ต่อเมื่อติดใจจากละคร ซึ่งสิ่งที่นิยายยุคหลังๆ นี้ต่างจากสมัยก่อนคือมันเร็ว ความรู้สึกตัวละครมันไม่ได้ถูกไล่เรียงหรือไต่ระดับมาจากไหน พอพ้นบท เราก็จะพบว่าตัวละครมันรู้สึก หรือมันคิดแบบนั้นไปซะแล้ว แต่ของนักเขียนรุ่นที่แม่เราอ่าน (และเราก็เลยต้องอ่านด้วย) นั่นก็ละเลียด ละเมียดละไม กว่าจะรู้สึกอะไรได้ซักอย่างก็หมดไปหนึ่งบท บรรยายคุ้งน้ำไปสามหน้า อะไรแบบนั้น
แต่ข้าบดินทร์ไม่เร็ว ไม่โผงผาง เหลือที่เล็กๆ ให้เราเดาความนึกคิดของตัวละครบ้าง มีช่วงที่เยอะหน่อยคือตอนบรรยายเรื่องช้าง อันเป็นสิ่งที่ผู้เขียนชอบและเริ่มเขียนเรื่องนี้เพราะมีช้างเป็นตัวตั้งต้น ซึ่งเราก็อ่านข้ามๆ ไปเลยช่วงนั้น (อ้าว...) ก็ไม่อินอ่ะเนอะ แล้วมันก็ไม่ได้กระทบกันเรื่องเท่าไหร่ แต่ถ้าตั้งใจอ่านก็จะได้ความรู้มากๆ
(ที่จริงคิดไว้อีกหลายประเด็นเลยตอนอ่าน และอยากจะเขียน แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็เรียบเรียงไม่ถูก เอาแค่นี้แหละ ไปดูละครย้อนหลังดีกว่า /อ้าว จบแบบไร้สาระเฉยเลย 555)
เป็นตะคริว
(โตมร ศุขปรีชา, 2558, Way of book)
[13/2015]
ถ้าเป็นหนังสือความเรียงทั่วไป มันก็คงจะค่อยตะล่อมอารมณ์เรา พาไล่ไต่ระดับความเข้มข้นบีบคั้น ไปจนถึงจุดสุดยอด แล้วก็ทิ้งดิ่งเราลงมา ปล่อยเวลาให้เราครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือ
แต่ "เป็นตะคริว" ไม่ใช่แบบนั้นเลย ส่วนหนึ่งเพราะเป็นหนังสือรวมบทความของคุณโตมร ศุขปรีชา ที่ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Cramp นิตยสาร Way รวม 45 ชิ้น เลยทำให้หนังสือไม่ต้องเสียเวลาโยกโย้ ปูทาง ลากอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มันเปิดฉากมาโฉ่งฉ่าง ฉะฉาน ฉูดฉาด ฉลาดเฉลียว เฉี่ยวฉิว ยังไง จนถึงหน้าสุดท้ายมันก็เป็นแบบนั้น
แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด แต่ทุกบทความต่างก็พูดถึงเรื่องเมืองไทย อย่างตรงไปตรงมา วิพากษ์วิจารณ์แบบไม่ต้องรักษาน้ำใจอะไรกันแล้ว บางเรื่องเราไม่เคยคิดถึงมุมนั้น หรือหากคิดถึง ก็ไม่กล้าหาญพอที่จะเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์ขนาดนี้ อ่านในที่สาธารณะก็กลัวคนชะโงกหน้ามาเห็นว่า มึงอ่านอะไรไอ้พวกหัวรุนแรง ถ้าโดนอย่างนั้นจริงจะปิดหนังสือแล้วหันไปบอกว่า แกน่ะแหละหัวอ่อนเกินไป
ช่วงเวลาของบทความที่ปรากฏในหนังสือ คือตั้งแต่ปี 2549 - 2556 เราพบว่าเมืองไทยเมื่อเก้าปีที่แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้มันก็ไม่ต่างไปจากตอนนั้นหรอก (น่าดีใจใช่มั้ย) ค่านิยมที่ฝังรากในบ้านเรามันมีอยู่มานาน และเราไม่เคยสลัดมันหลุดพ้น เราโตมากับมันจนเราเคยชิน ลืมที่จะตั้งคำถาม หรือบางทีเราตั้งคำถาม แต่กลัวที่จะตอบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเราจะเสียประโยชน์จากสิ่งนั้นแน่ๆ หากตั้งใจหาคำตอบหรือหาทางคลี่คลาย เลยปล่อยให้มันคาไว้ เพราะยังไงเราก็ไม่เดือดร้อน
ใช่ๆ เราเป็นคนแบบนี้กันนั่นแหละ
จึงไม่แปลก หากเราจะเกิดอาการสะดุ้งสะเทือน โดนกระทบกระเทียบให้เจ็บแปลบหัวใจเล่นๆ หากโดนหนักเข้าจะพานปิดหนังสือทิ้ง หนีความจริง แล้วกลับไปอ่านคำคมคายสไตล์ธรรมะในหนึ่งย่อหน้ากันต่อ ใครจะไปทนโดนด่าอยู่ได้ตั้งสามร้อยกว่าหน้าล่ะจริงมั้ย
หลังๆ มานี้ เรามีความสุขกับชีวิตในเมืองแห่งนี้น้อยลงทุกวัน ที่กลับกันคือตั้งคำถามมากขึ้น เห็นอะไรก็หงุดหงิดไปหมด พออ่านเล่มนี้จบ ก็เป็นตะคริวสมชื่อ คือไอ้ที่ปวดเกร็งมันแข็งไปเลย หนึบหนับหน่วง จะยืดก็ไม่ได้ จะหดก็เจ็บ ต้องปล่อยให้ตะคริวมันกินไปแบบนี้ ทิ้งไว้ซักพักมันจะคลาย เราหนีอาการตะคริวกินไม่ได้ คล้ายที่เราไม่รู้ว่าว่าหยุดสะอึกเมื่อไหร่ ยังไงก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้
ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ ชีวิตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในบ้านเมืองแสนสุขแห่งนี้
Once Ubon a time อุบลเป็นเมืองชิคๆ
(ธนชาติ ศิริภัทราชัย, 2558, สำนักพิมพ์แซลมอน)
[12/2015]
สมัยเรียนจะมีวิชาบังคับตัวหนึ่งของชาวเอกฟิล์ม ชื่อวิชา ภาพยนตร์ทดลอง (Experimental Film) ซึ่งเราเกลียดวิชานี้มาก เพราะนอกจากจะต้องดูหนังห่าอะไรที่ไม่รู้เรื่องแล้ว ยังต้องทำหนังส่งเป็นงานคู่ เราจับคู่กับสิวสิว เพื่อนอีกคนที่ก็ป่วยเรื่องการทำหนังพอกัน (ปัจจุบันมันเป็นโปรดิวเซอร์หนังโฆษณา) แล้วทำหนังมั่วๆ ขึ้นมาเรื่องนึง โดยใช้คำว่าทดลองเป็นข้ออ้าง สุดท้ายอาจารย์จึงให้เกรดซีสนองความมั่วของมึงกลับมาเป็นรางวัล โบกมือลาวิชานี้มาด้วยความคิดที่ว่า กูไม่เห็นจะได้ห่าอะไรเลย (ยกเว้นเกรดซี)
แต่ถ้าตัดความไม่ชอบทำหนังออกไป พอโตมาจึงค่อยๆ เข้าใจว่า ในกระบวนการทำหนังทดลองนั้น มันไม่ได้มีความมั่วเป็นที่ตั้ง (แม้ปลายทางของหนังจะดูมั่วมาก) มันผ่านการตั้งโจทย์ และออกแบบการเล่าเรื่องให้สนองต่อโจทย์นั้นๆ เป็นโปรเจ็คต์ส่วนตัวของคนทำหนัง ที่อยากเอาแต่ใจเล่าเรื่องแบบนี้อ่ะ เบื่อวิธีการเดิมๆ แล้วอ่ะ และอยากรู้อ่ะ ว่าด้วยวิธีแบบนี้ มันจะพาผู้ชมไปที่ไหน ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร
ที่ร่ายมาทั้งหมด ก็เพื่อจะเข้าสู่บันทึกการอ่าน Once Ubon a Time อุบลเป็นเมืองชิคๆ ของนายธนชาติ จันทร์เขียว เพราะสำหรับเรา หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือทดลอง
มันเป็นหนังสือทดลอง ที่ไม่มั่ว เพราะแม้จะมีโจทย์เป็นการเสียดสีกระแสฮิปสเตอร์ มินิมอล คินโฟล์ค อย่างเป็นทางการ แต่มันก็ไม่มั่ว ไม่แบบฉาบฉวยตั้งป้อมด่า มันจับเอาสิ่งที่อยากพูด
มากระแนะกระแหนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทำโปรดักชันเป็นอย่างดี ร้อยเรียงจนกลายเป็นรูปเล่ม
(จนบางทีก็อยากถามว่า ทำไมมึงต้องทำขนาดนี้)
จากการเป็นเพื่อนมัน เคยทำงานกลุ่มเดียวกับมัน ดูหนังของมัน อ่านหนังสือของมัน เราพบว่า นอกจากความชิคๆ คูล ที่มีอยู่เส้นเลือดใหญ่ไหลเวียนไปทั่วร่าง ธนชาติยังมีความสนใจเป็นอย่างยิ่ง กับชนบทไทย วัฒนธรรมย่อยแถวชานเมือง เพราะไอ้พวกนี้แหละ คือความเป็นไทย ที่ไม่ถูกบรรจุไว้ในวัฒนธรรมกระแสหลักที่ประเทศนี้ใช้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ เป็นวีถีชีวิตที่มีอยู่ และจะยังไม่หายไปในเร็วๆ นี้แน่
หนังสือเล่มนี้ เลยเหมือนแซะทีเดียวได้นกสองตัว เพราะนอกจากจะแซะจนวงการฮิปสเตอร์สั่นสะเทือน จะเผื่อแผ่กิริยาแซะไปแถวตำบลหนองยายโหมด วัฒนธรรมผ้าสี ขูดต้นไม้ ดูลายมือ โดนมันแขวะหมด (ศัตรูมึงนี่เยอะมากจริงๆ)
เบ๊นเป็นคนช่างสังเกต
และความช่างสังเกตของมันแพรวพราวอยู่ตามภาพและตัวอักษรที่มันเขียน
เบ๊นมีความเป็นผู้กำกับ คือมันคิดไว้แล้วว่าตรงไหนจะต้องเล่ายังไง
ด้วยน้ำเสียงแบบไหน ภาษาในเล่มนี้ที่มันเลือกใช้
จึงดัดจริตผิดจากความเป็นมันไปหลายช่วงตัว
เราชอบความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ เหมือนอยู่ในห้วงแห่งความคิดตลอดเวลาที่อ่าน อุบลในหนังสือเล่มนี้เป็นเมืองจริงที่เหมือนไม่มีอยู่จริง
คือแม้เราจะคาดเดาไว้แล้วว่า กูจะต้องโดนไอ้เบ๊นมันหลอกแน่ๆ
แต่พออ่านไปสักพัก เราจะเริ่มคล้อยตาม เดินตามตัวหนังสือไปเรื่อยๆ
ก่อนจะเข้าสู่สเตจถัดไป คือ มันใช่เหรอวะ, มันมีจริงเหรอวะ,
มันเขียนซะจริงจนกูเริ่มไม่แน่ใจแล้ว เราจะรู้สึกซ้ำๆ
แบบนี้จนรู้ตัวอีกทีคืออ่านจบ และนั่งงงงวยไปอีกครู่ใหญ่
ว่าที่กูอ่านไปเมื่อกี๊มันคืออะไรกันแน่
เราชอบความแดกดัน ชอบความฝันถึงเมืองในฝันที่หาทางระบายออกได้ถูกที่ถูกทาง (แม้อาจจะโดนคนด่าว่ามึงไปหลอกเขาก็เถอะ) และบางช่วงก็เหมือนได้อ่านความคิดเห็นของไอ้คนเขียนอย่างตรงไปตรงมา ทั้งหมดนั้นถูกยำเละเทะในหนึ่งบทความ อยู่ที่ว่าเราจะถอดรหัสมันแบบไหน และพยายามทำความเข้าใจมันว่าไง
เพราะมันเป็นงานทดลองเนอะ จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนไม่เกท แต่ถึงอย่างนั้น อารมณ์ขันที่สอดใส่ (สอดแทรกก็พอ...) เป็นระยะๆ ในหนังสือเล่มนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เก็บเกี่ยวออกมาได้ง่ายที่สุด และก้มหน้าก้มตาอ่าน ยอมให้ธนชาติมันกวนตีนเราอีกเป็นครั้งที่สามร้อยสิบเก้า...
ปล. ไม่รู้เข้าใจถูกรึเปล่า แต่บทสัมภาษณ์ The Right Light เหมือนธนชาติเขียนถึงตัวมันเอง มันอาจจะเป็นแบบนี้ตอนแก่ และรู้สึกว่าได้รู้จักมันมากขึ้นอีกนิดนึง แบบชิคๆ :)
#เรียนหมอหนักมาก It's not easy to be a doctor
(พี่เพลีย, 2558, สำนักพิมพ์แซลมอน)
[10/2015]
โลกของหมอเป็นโลกที่เราชอบเข้าไปศึกษาเสมอ (แต่ไม่อยากศึกษาวิชาหมอนะ)
ซีรี่ส์หมอเหมออะไรนี่ชอบดูมาก เรียนฟิสิกส์ก็เรียนกับหมอประกิตเผ่า
ฟังเพลงหมอโอ๊ค ดูละครหมอก้อง มีหมออ้อยเป็นไอดอลด้านความเซ็กซี่
(ไม่ใช่แล้วโว้ย...)
(คือเขียนจนดูเป็นเรื่องเล่น แต่จริงๆ คือชอบเรื่องหมอจริงนะ อีห่าน มึงเคยเขียนอะไรจริงจังบ้างมั้ย)
เรียนหมอหนักมาก เล่าชีวิตหกปีในฐานะนักศึกษาแพทย์ของน้องหมิง (aka พี่เพลีย aka
Guplia) ที่ดูว่ายังไม่หนักเท่าไหร่ เพราะน้องดูเป็นคนเรียนเก่ง
(อย่างน้อยก็เก่งกว่าพี่แน่นอน 555) แต่ที่หนัก
คงเป็นเรื่องเล่าห่าเหวระหว่างทางเรียน
จนอาจเปลี่ยนจากความหนักเป็นความเหวอได้เลย
แต่อย่างนั้น
บางช่วงตอนของหนังสือก็ดูรวบรัดตัดตอนไปหน่อย แบบ อ้าว
ทำไหมผ่านปีหนึ่งไปเสียดื้อๆ บางช่วงความเป็นไทม์ไลน์มันดูหายไป
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักมาก เพราะเรื่องเล่ามันน่าสนใจในตัวอยู่แล้ว
รู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีก
ไม่รู้ว่าติดเรื่องจรรยาบรรณไรงี้รึเปล่า แต่เท่าที่เล่ามาก็สนุกมากแล้ว
เรามีเพื่อนเป็นหมอหลายคน แต่มันก็ไม่เคยเล่าเรื่องห่าเหวให้ฟังขนาดนี้
จะได้เห็นก็แต่มุมเหนื่อย เรียนอย่างไม่จบสิ้น จบหกปี จบใช้ทุนแล้ว
ก็ต้องเรียนต่อกันอีก อย่างเพื่อนเราคนนึง ตอนมัธยมนางอยากเรียนเภสัช
แต่พอคะแนนออกมาดีมาก จนน่าจะติดหมอได้ เราก็เลยยุมันไปว่า เรียนหมอเหอะ
ไหนๆ จะมาสายการแพทย์แล้วก็ต้องไปให้สุดทาง เลือกเลย หมอ ธรรมศาสตร์
อยู่ที่เดียวกันด้วย ไม่เหงาหรอก
สุดท้ายเพื่อนก็เลือก
หมอ และติด กลายมาเป็นรูมเมทกัน ที่หอ (เป็นห้องแบบสี่คน) เป็นสาวเขมะฯ สอง
สาวสตรีวิทย์สอง สองในนั้นเรียนวารสารฯ อีกสองเรียนหมอ
คือเป็นส่วนผสมที่สมมาตรดีมาก อีกเด็กวารสารฯ สองคน วันๆ
กลับถึงห้องก็ดึกดื่น ในสภาพสิ้นร่างจากการทำกิจกรรมบ้าบอ
ส่วนอีที่เรียนหมอสองคน นั่งอยู่ที่โต๊ะ อ่านหนังสือหนาๆ
ท่าทางเคร่งเครียด
วันดีคืนดีก็มีเรื่องผีมาเล่าให้ฟัง
(ถามกูก่อนมั้ย) จำได้ลางๆ ว่าเหมือนมีผีตามมาที่ห้องด้วย หรืออะไรซักอย่าง
เป็นรูทเมทหมอก็หนักมากเช่นกัน (ฮือออ พากูออกไปจากห้องนี้)
พอปีสองเราย้ายไปอยู่หอนอก เสพสมความอิสระเสรี
เลยไม่ได้เห็นวิถีชีวิตนักเรียนแพทย์แบบริงไซด์เหมือนที่เคยเป็น
แต่อย่างนั้น จากการติดตามห่างๆ โทรคุยกันบ้างนานๆ ครั้ง
ก็รู้สึกได้จากน้ำเสียงมันถึงความเหนื่อยและหนัก ที่ทำกันอยู่ถ้าไม่ใจรัก
มึงคงคิดว่าใช้กรรมเก่าสินะ
รักหมอ <3 br="">3>
Siam Discovery สยาม มนุษย์ สถิต
(คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง, 2558, สำนักพิมพ์แซลมอน)
[9/2015]
แม้จะเด็กกว่าพี่ต่อสองปี แต่อ่านเล่มนี้แล้วก็รู้สึกว่าเราแก่เท่ากัน 555
เพราะหลายๆ เรื่องเราก็มีความทรงจำร่วมกันกับในหนังสือนี่แหละ
บางเรื่องเราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันมี (เช่น แม็กเน็ตติดตู้เย็น ที่โรงหนัง
SF มาบุญครองจะแถมให้ แต่ก่อนนี่เก็บสะสมเลย แต่มันหายไปไหนหมดฟะ)
หลายเรื่องเราคุ้นเคยมากสมัยมัธยม ตอนนั้นจะมาซื้อรูปดาราญี่ปุ่น
(ที่เขาตัดออกมาจากนิตยสารอีกที) แม่งขายแผ่นละเกือบร้อย
แต่เพื่อดาราที่เราชอบ เราก็ต้องถ่อมาซื้อที่สยาม (ตัดภาพมาสมัยนี้
รูปเหล่านั้นกระดิกเท้ารอให้เราไปเซฟ ที่สำคัญคือ ฟรี...)
ตอนไปเรียนพิเศษที่สยาม ที่จะรู้สึกว่าตัวเรานี้โง่มาก
เพราะนั่งเรียนอยู่ท่ามกลางเด็กสาธิตฯ เด็กเตรียม กูมาทำอัลไลที่นี่
หรือศูนย์หนังสือจุฬาฯ ที่สมัยก่อนชอบไปซื้อหนังสือที่นั่นมาก
ยอมเสียเงินห่อปก (เพราะเขาไม่ห่อให้ฟรีเหมือนคิโนะ) และยามดุ
อย่างที่พี่ต่อเขียนไว้ในหนังสือเลย
Out in Africa
(อาทิตย์ ประสาทกุล, 2558, สำนักพิมพ์แซลมอน)
[8/2015]
นอกจากหนังแล้ว ก็ไม่เคยสนใจจะหาช่องทางอื่นเพื่อทำความรู้จักกับแอฟริกาเลย
เราคือกลุ่มเป้าหมายคนอ่านของหนังสือเล่มนี้แหละ คือเป็นพวกเข้าใจไม่ถูก
เห็นภาพแอฟริกาที่แห้งแล้ว น่ากลัว เต็มไปด้วยชนพื้นเมืองทำพิธีอะไรแปลกๆ
ตลอดเวลา
พี่กิ๊ก (หรือคุณอาทิตย์
หรือท่านทูต-สมญาที่สาวแซลมอนใช้เรียกผู้เขียน)
จึงเขียนบันทึกเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อปรับความเข้าใจของคนส่วนใหญ่
ให้มองแอฟริกา เป็นอีกที่หนึ่งของโลกที่ยังคงมีพลวัต มีความเคลื่อนไหว
มีชีวิตชีวา ไม่ได้เป็นภาพนิ่งเก่าแก่เหมือนที่เรามักจะนึกถึงทวีปนี้
การ
เขียนบันทึก ถือเป็นอีกหน้าที่หนึ่งของนักการทูต
ที่จะต้องเล่าเรื่องเมืองที่ตัวเองได้ไปรับราชการมา
เพื่อถ่ายทอดให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง
ในหนังสือพี่กิ๊กเขียนเอาไว้อย่างอย่างนี้
ซึ่งเราว่าหนังสือมันทำหน้าที่นั้นสมบูรณ์ไปแล้วนะ
หนึ่ง
คือเราได้รู้จักแอฟริกามากขึ้น โดยเฉพาะที่ไนโรบี ประเทศเคนยา
ประเทศที่เรามักได้ยินว่าเขาได้เหรียญทองโอลิมปิกวิ่งมาราธอน
แต่เคนยาในหนังสือเล่มนี้ก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่เขาก็มีชีวิตเหมือนเรา
มีความเจริญเกินที่เราคาดไว้ มีป่าซาฟารีอย่างที่เราเห็นในโปสเตอร์
รู้สึกเหมือนได้ไปท่องเที่ยวกับพี่เขาด้วย ซึ่งก็ดีมาก
เพราะเอาจริงก็คงไม่ได้อยากไปเที่ยวที่นั่นเท่าไหร่ (คืออยากเที่ยวเมืองนะ
แต่ไม่อยากเที่ยวดูสิงโต 555)
สอง
คือเราได้รู้จักชีวิตนักการทูต เรามักจะแพ้ให้นิยาย หรือละคร
ที่พระเอกรับบทนักการทูต รู้สึกว่ามันช่างเท่
อย่างตอนคุณชายปวรรุจนี่ดิฉันแพ้ราบคาบ อ่านนิยายจบ ดูละครจบ
ยังต้องหาอ่านเกี่ยวกับวิถีชีวิตทูตต่อ ว่าอาชีพนี้มันเป็นอย่างไร
ลำดับตำแหน่งในกระทรวงเป็นอย่างไร
คือหมกมุ่นกับการหาข้อมูลตรงนี้อยู่นานเลยแหละ
(ทั้งนี้ก็เพื่อเอาไปจิ้นชีวิตคุณชายกับท่านหญิงแต้วต่อ บ้ามั้ยล่ะ 555)
แต่ไอ้ที่หาข้อมูลมาทั้งหมด กระจ่างใจมลก็ตอนอ่านหนังสือพี่กิ๊กนี่เอง
ว่านักการทูตเขาไม่ได้มีไว้พาแขก VIP เที่ยวอย่างเดียวนะโว้ย
ยังมีงานอื่นที่ต้องทำ เที่ยวก็ต้องเที่ยว วีซ่าก็ต้องเซ็นอนุมัติ
อาคารสถานทูตก็ต้องซ่อม ทำไมอาชีพนี้มันจับฉ่ายจังวะ
แต่พอถึงคราวต้องเท่ ต้องเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ
พวกท่านทูตแกก็ใส่สูทฟ้อหล่อเฟี้ยว ออกมาเช็คแฮนด์ สปีคอิงแลนด์เป็นไฟ
แก้ปัญหาความขัดแย้งระดับชาติให้ลุล่วง (อืม มุมนี้ค่อยหล่อหน่อย)
จึงเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่งที่ได้อ่าน
ด้วยน้ำเสียงของผู้เขียนยิ่งทำให้รู้สึกว่าเขาเฝ้ามองแอฟริกาด้วยลายตาอ่อน
ละมุนเหลือเกิน เขียนด้วยความสุภาพ และให้เกียรติผู้คนและสถานที่ที่นั่น
(ถ้าเป็นเราเขียนเหรอ...)
บวกกับที่ตัวเองได้เจอและพูดคุยกับพี่กิ๊กแกครั้งหนึ่ง น้ำเสียงนุ่มๆ
สุภาพๆ แต่กะตือรือร้นที่จะเล่าเรื่องนั้นชัดเจนมากตอนอ่าน
ตัวหนังสือกับตัวพี่เขาเหมือนกันจริงๆ
ปล.
ตอนแลกหนังสือกับพี่กิ๊ก แกจะเซ็นให้โดยเลือกภาษิตภาษาสวาฮิลี
เขียนให้แต่ละคนไม่ซ้ำกัน ของเราได้ "ทามู ยามัว คิฟุนโด
อ้อยหวานที่สุดที่ข้ออ้อย ซึ่งแข็งที่สุด" แล้วพี่กิ๊กก็บอกเราว่า
"ผมชอบกินอ้อยนะ และผมว่าภาษิตนี้เหมาะกับน้องนิดนกมากเลย" ... อืม
พี่เค้าชอบเนาะ ใช่ป่ะวะ 55555
Culture Strike ไม่ไทยแลนด์ ทำแทนไม่ได้
(ปฏิกาล ภาคกาย, 2558, สำนักพิมพ์แซลมอน)
[7/2015]
แม้จะเห็นในฟีดเฟซบุ๊ก ในกระทู้พันทิป ในเว็บ Coconuts Bangkok
ที่ว่าด้วยความเซอร์ ความเท่ ของความเป็นไทยอยู่แทบทุกวัน
แต่พอมันจะมีหนังสืออีกซักเล่มที่เอาเรื่องนี้มาพูดเป็นเรื่องเป็นราว
เราก็อดจะอยากอ่านไม่ได้แหละ (ถ้าไม่นับว่า คนเขียนคือ บก.กาย
ผู้มีพระคุณ)
หนังสือรวมเอาบุคลิกเด่น
อันเป็นเรื่องเล่าเฉพาะตัวของชนชาติไทย ที่หามีใครมาเปรียบเทียบได้
เล่าโดยใส่น้ำเสียงจิกกัด แขวะ แดกดัน แบบหน้านิ่งอย่างที่กายชอบทำ
อ่านไปก็ได้แต่พยักหน้าตาม เพราะมึงเถียงไม่ได้เลยซักอย่าง
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเราซะเองที่เคยทำ หรือเคยเห็นเพื่อนร่วมชาติทำ
เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีอยู่จริง เป็นสิ่ง (ที่ไม่ค่อยดี)
ที่เราต้องอยู่กับมันบนแผ่นดินทองแห่งนี้
เสียดายนิดหน่อย
ตรงที่หลายเรื่องมันน่าจะขยี้ขยำเอาให้เละกว่านี้ได้อีก
เหมือนกายยังเกรงใจกลัวโดนใครมายิง เลยเอาแค่แตะเบาๆ แกมหยอก มันเหมือนกับ
เรา (คนอ่าน) มีประสบการณ์ร่วมที่ละเอียดกว่าที่หนังสือเล่าไปแล้วอ่ะ
เราเจอมากับตัวเป็นฉากๆ พออ่านแล้วเลยอยากจะเล่ากลับไปหาคนเขียนเหมือนกัน
แบบ "จริงค่ะ วันก่อนดิฉันขึ้นแท็กซี่ ... บลาๆๆๆ"
เข้าใจฟีลลิงคนอ่านเขียนจดหมายหาผู้เขียนก็วันนี้
หลายประเด็นในหนังสือชวนให้เราฉุกคิดนะ และก็น่าชวนคนในสังคมมาฉุกคิดร่วมกัน
แต่ก็นั่นแหละ สุดท้าย ด้วยความเป็นไทย เราก็จะทำได้แค่ฉุกคิด
แล้วเราก็กลับมาครื้นเครงในความเป็นไทยกันเหมือนเดิม สวัสดี
The Catalogue of deadline ล้อเล่นบนเส้นตาย
(ณัฐชนน มหาอิทธิดล, 2558, สำนักพิมพ์แซลมอน)
[6/2015]
อ่านแล้วรู้สึกผิด พูดได้แค่นี้...
ครึ่งแรกของหนังสือ ยังพูดถึงเส้นตายในชีวิต ที่เราต้องเจอกันอยู่ทุกวี่วัน
แต่พอเข้าครึ่งหลัง คุณแบงก์ - ผู้เขียน ก็พาไปชมเดดไลน์ในโลกของนักเขียน
ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงอ่านไป จิกปาก
กลอกตาด้วยความสมน้ำหน้าในชะตากรรมของอีพวกนี้ไปด้วย
แต่พออ่านด้วยสายตาของเรา
ที่เพิ่งผ่านการส่งต้นฉบับแบบล้ำเส้นเดดไลน์ไปหมาดๆ
จึงรู้สึกผิดโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เอาจริงๆ
เราว่าไอ้เรื่องเล่าของนักเขียนกับเดดไลน์
มันอาจจะใช้ได้กับชีวิตฟรีแลนซ์หลายๆ อาชีพ
(รวมถึงพนักงานออฟฟิศอย่างเราด้วย) แค่พอทำงานออฟฟิศ
เดดไลน์มันอาจจะชัดเจนและล้อเล่นกับมันได้น้อยกว่างานสายเขียน
ยิ่งกับเราที่เป็นมนุษย์ประเภท ไฟไม่ลนตูดก็ไม่ค่อยอยากทำ
ยิ่งอ่านแล้วได้แค่พยักหน้าหงึกๆ แล้วคิดว่า ผมจะปรับปรุงตัวค้าบบบบ
อนึ่ง ชอบภาพประกอบเล่มนี้มากเลย น่ารัก และช่วยเล่าเรื่องได้ดีมาก
ศิลป์ซิตี้
(iannnnn, 2558 สำนักพิมพ์แซลมอน)
[5/2015]
แม้จะเล่าเรื่องศิลปากร วังท่าพระฯ แต่สาวธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์อย่างเรามีความรู้สึกร่วมไปด้วยในหลายๆ ตอนเลย
โดยเฉพาะตอนที่หนุ่มศิลปากรเดินมาส่องสาว มธ. ที่ท่าพระจันทร์
เราเองก็ไปส่องหนุ่มเดค หนุ่มถาปัด ที่ท่าช้างเหมือนกันแแหละวะ กิกิ
ชีวิตมหาวิทยาลัยมันดีนะ คือเล่ากี่ทีก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องใหม่ๆ
ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ บางเรื่องมีเราเป็นตัวละครในนั้น
แต่ทำไมเป็นเพื่อนที่จำรายละเอียดพวกนั้นได้ดีฉิบหาย
(ส่วนเราคือจำไม่ได้เลย) การเรียนที่ควรจะเป็นเส้นเรื่องหลัก
กลับกลายเป็นแค่ฉากเอาไว้รองรับชีวิตส่วนอื่นในฐานะนักศึกษา
ที่มีทั้งแย่ทั้งดี แต่ทุกเรื่องล้วนน่าจดจำ
หนังสืออ่าน
ง่ายในระดับที่เอาเข้าไปขำในส้วม ทำธุระเสร็จก็อ่านจบพอดี (นี่คือคำชม)
มุกตลกดิบๆ ตามฟอร์มพี่แอนเขา (จำได้ว่าตอนอ่านสลอธแมชชีน
นี่ขำน้ำตาไหลตายไปเลย) สำหรับคนวัยเรา ไม่ว่าจะเรียนที่ไหน
อ่านแล้วคงอยากโทรหาเพื่อนซักคน ชวนกันไปนั่งแก่อยู่ริมสนามบอลมหา'ลัย
ชวนคุยเรื่องเก่าๆ ที่เคยเล่าไปแล้วอีกซักรอบ
ด้วยความคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง...
เยอรมันซันเดย์: ทำไมญี่ปุ่นไม่รับทิป แต่มีเซอร์วิสที่ดีที่สุดในโลก
(Little Thoughts, 2558)
[4/2015]
แม้จะชื่อเยอรมัน แต่หนังสือเล่าถึงเยอรมันเพียงแค่หนึ่งบท (วอทส์!)
คือหนังสือทำหน้าที่คล้ายบทคัดย่อ เพื่อพาเราไปทำความรู้จักประเทศทั้ง 7
แห่ง ที่มีคาแรกเตอร์น่าสนใจมากพอ
ก่อนจะไปลงมือศึกษาต่อด้วยการซื้อตำราหนาๆ สักเล่มมาอ่าน
เพื่อเจาะลึกประเทศนั้นๆ ที่เราสนใจ (ซึ่งถามว่าเราทำมั้ย ... ก็ไม่)
เราว่าข้อดีของหนังสือ Little Thoughts
คือมันพาเราออกไปเห็นโลกกว้างในสไตล์ชะโงกทัวร์ คือ พาไปที่นั่นนิด
ที่นี่หน่อย อ่านไปกำลังจะอิน อ้าวอีห่า จบบทซะแล้ว
สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะมีเงินเดินทางไปไหนอย่างเรา
การได้อ่านหนังสือมันคือเปิดตาเปิดใจมาก ซึ่งหนังสือของ Little Thoughts
ทำหน้าที่พาเราไปหย่อนไว้ตรงเมืองหลวง ถ้าเป็นกรุงเทพ
คือพาไปลงที่วัดพระแก้ว แล้วบอกคนอ่านว่า มึงหาทางต่อไปสยามเองนะ
หมดหน้าที่ของเราละ
เขียนเหมือนด่าเขาป่ะวะ
แต่ความหมายจริงๆ คือชื่นชมปนขอบคุณอยู่
คือสมัยนี้ใครก็อยากอ่านหนังสือบางๆ รับข้อมูลแบบผิวๆ มาก่อน
อย่าเพิ่งมาหนา อย่าเพิ่งมาตำราใส่ เพราะจากที่ควรจะรู้ซักนิดหน่อย
กลายเป็นไม่ลงมืออ่านแม่งเลย แต่กับหนังสือเล่มนี้ อย่างน้อยที่สุด
เราก็ได้รู้จักประเทศเหล่านั้น นอกเหนือจากหนังและดารา ระดับเบื้องต้น
พอให้ไปคุยกับใครเขารู้เรื่อง วางแผนเที่ยวอย่างเข้าใจ และที่สำคัญ
คือเราเข้าใจโลกมากขึ้น ว่ามันเต็มไปด้วยความต่าง
โลกที่กำลังบีบแคบเข้าหากันเรื่อยๆ ยิ่งต้องการความเข้าใจจากสมาชิกร่วมโลก
ว่าเราไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น เราจะจูนกันติดได้อย่างไร
และเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรไม่ให้ขัดข้องหมองใจกันมากนัก
Cool Japan: ความเจ๋งมวลรวมประชาชาติ กับการเรียกคืนความแข็งแกร่งของญี่ปุ่น
(Little Thoughts, 2558)
[3/2015]
อ่านเล่มนี้เพราะเห็นนายป๊อกกี้เขียนถึงไว้ในหนังสือ 12-4-48 ถี่เหลือเกิน
จำได้ว่าเคยเปิดเล่มนี่ผ่านๆ แล้วก็วาง เพราะคิดว่าต้องไม่ชอบแน่ๆ
แต่พอได้ลงมืออ่านจริง ก็พบว่าเราประเมินผิดไป
Cool
Japan
เรียบเรียงเรื่องราวว่าด้วยประเทศญี่ปุ่นไว้อย่างน่าสนใจและอ่านไม่เบื่อ
เส้นเรื่องของเล่มนี้เปิดด้วยความตกต่ำของญี่ปุ่นในยุคสมัยใหม่ ก่อนจะค่อยๆ
เล่าต่อไปว่า อะไรคือความสำเร็จในอดีตที่อาจเก็บเกี่ยวมาใช้เป็นทางรอด
อะไรคือเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ
และอะไรคือเสน่ห์ที่ทำให้เรารู้จักญี่ปุ่นแบบที่เป็นญี่ปุ่นในทุกวันนี้
เหมาะมากสำหรับผู้เริ่มอยากทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่นสมัยใหม่ในเชิงลึก
เกียวโตที่รัก โตเกียวที่คิดถึง
(ฮิมิโตะ ณ เกียวโต และ ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, 2558, สำนักพิมพ์มติชน)
[2/2015]
นักเขียนเรื่องญี่ปุ่นสองคนที่เราชอบมาฟีดเจอริงกันนั้นถือเป็นเรื่องดี พี่นัทรับหน้าที่เขียนถึงโตเกียว และคุณฮิมิโตะ (นามปากกาของคุณคำ ผกา) เขียนถึงเกียวโตที่เธอคุ้นเคย การอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบจึงผ่านไปอย่างไม่ยากเย็น เราเพลิดเพลินประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่พบว่ามันมีจุดพีคอะไรตรงไหน
พาร์ทโตเกียวของพี่นัทนั้นเหมือนเป็นบทเกริ่น เป็นบทคัดย่อเมืองโตเกียวอย่างคร่าวๆ ให้คนที่ยังไม่เคยเหยียบเมืองหลวงประเทศญี่ปุ่นอย่างเราได้ทำความรู้จักเมืองนี้เป็นครั้งที่สี่ร้อยยี่สิบเจ็ด ลีลาการเขียนเชิงสารคดี เล่าเรื่องแทรกความรู้ของพี่นัทยังคงน่าอ่าน แต่ไม่จุใจเหมือนตอนอ่านเซทญี่ปุ่น (เอ๊ะ เจแปน, เจแปนดิด, เอ๊ะ เจ ป๊อป) ของพี่นัทที่เขียนกันแซลมอน อันนั้นดูเหมือนจะเรียบเรียงมาดีกว่า และอ่านมันกว่า
ส่วนเกียวโตในมมุมมองของคุณฮิมิโตะฯ ยังคงน่าสนใจเสมอ สมัยเรียนชอบไปห้องสมุดแล้วยืมหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นมาอ่าน จึงเป็นแฟนคลับคุณคำ ผกา ในร่างฮิมิโตะฯ ไปโดยไม่รู้ตัว แต่จะว่าไปครั้งสุดท้ายที่อ่านหนังสือแกก็หลายปีมาแล้ว จนรู้สึกว่า ญี่ปุ่นในหนังสือเหล่านั้นมันช่างล้าสมัยเหลือเกิน
การอ่านเกียวโตที่รักฯ เหมือนพาไปเจอเพื่อนเก่า เพราะเคยไปเกียวโตแล้วเลยนึกภาพตามที่คุณฮิมิโตะฯ ว่าได้เป็นฉากๆ แต่ด้วยสไตล์แกที่จะต้องจิกกัด แดกดัน กระทบชิ่งกลับมาที่สังคมไทยบ้าง ทำให้หนังสือมันเผ็ดร้อนพอประมาณ (เท่าที่นามปากกาฮิมิโตะฯ จะพาไปได้)
ว่าแล้วก็เสียดาย ที่ไม่ได้อ่านเรื่องญี่ปุ่นอย่างเต็มข้อให้สมที่คาดหวังไว้ (คิดดู ฮิมิโตะฯ กับ พี่นัทคุงนะเว้ย) เป็นอารมณ์เดียวกับที่เสียดายคุณเกตุวดี ในหนังสือ Japan Gossip เรามันซาดิสม์ อยากอ่านตัวหนังสือเยอะๆ เล่ามาเหอะ เรารออ่าน เล่มหน้าขอเลยนะคะ ท่านใดก็ได้ เอาหนักๆ เต็มๆ มันๆ
(แล้วมึงเป็นใครไปเรียกร้องเค้าเนี่ย 555)
สวรรค์ชั้นโตเกียว
Tune in Tokyo The Gaijin diaries
(Tim Anderson เขียน, จิตราพร โนโตดะ แปล, สำนักพิมพ์มติชน, 2013)
[01/2015]
เราได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่วางอยุ่ล้นแผงหนังสือ มุมมองจากคนไทยต่อญี่ปุ่นนั้นจะออกไปในทางชื่นชม แม้จะมีมุมที่แตกต่าง แต่ความเป็นเอเชียเหมือนกันทำให้เราพอจะเกทพฤติกรรมบางอย่างของญี่ปุ่นได้ เป็นความรู้สึกแบบที่ต้องเป็นคนเอเชียด้วยกันถึงจะมองตากันแล้วเข้าใจ
แต่กับ Tune in Tokyo ของทิม แอนเดอร์สันมันต่างออกไปหน่อยตรงที่เป็นการมองญี่ปุ่นด้วยสายตาของคนจากอีกซีกโลกนึงเลย น่าจะเป็นหนังสือที่พูดถึงญี่ปุ่นที่ไม่ได้เขียนโดยคนไทยเล่มแรกเลยมั้งที่เราเคยอ่าน ทำให้ช่วงแรกๆ ต้องปรับตัวเหมือนกัน เพราะเราจะงงว่า ฮะ เรื่องแค่นี้มึงตืนเต้นทำไมวะ ก่อนจะนึกได้ว่า อ้อ ตาทิมนี่แกฝรั่งจ๋าเลยนะโว้ย
หนังสือเล่มนี้เป็นบันทึกช่วงเวลา 2 ปี ของทิม แอนเดอร์สัน เกย์ชาวอเมริกัน รู้สึกซังกะตายกับชีวิต
ไร้ซึ่งแรงบันดาลใจ ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เลยนึกขึ้นมาได้ว่า
ครั้งสุดท้ายที่หัวใจโลดแล่นเป็นสุข
คือตอนที่ได้ออกเดินทางสมัยเรียนจบใหม่ๆ ว่าแล้วทิม แอนเดอร์สัน
ก็ใช้ความเป็นอเมริกันชนให้เป็นประโยชน์
ด้วยการสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับประเทศที่สปีคไม่คล่อง
และปลายทางของเขาคือกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
อีกหนึ่งอย่างที่เราไม่ค่อยได้เคยอ่าน คือความในใจของครูสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนเอเชียผู้ขี้อาย ซึ่งตาทิมแกเขียนระบายเอาไว้ซะจนต้องมานั่งนึกว่าเราเคยได้ทำบาปทำกรรมอะไรเอาไว้กับทีชเชอร์ฝรั่งบ้างรึเปล่า เวลาเรียนเราก็จะคิดถึงแต่ความเครียดอันเกิดจากความเขินไม่กล้าพูดของเราเอง แต่หารู้ไม่ว่า ครูฝรั่งแกก็เครียดพอๆ กับเรา เครียดเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองสอนอากาศ พูดใส่กำแพง ไม่มีสัญญาณตอบรับจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในห้อง เออ เพิ่งรู้สึกเห็นใจอาจารย์ก็ตอนนี้
แต่ถึงอย่างนั้น สองปีของทิมในญี่ปุ่นก็มีอะไรเซอร์เรียลเกิดขึ้นเยอะแยะ ทั้งจากเพื่อนร่วมงาน ลูกศิษย์ และตัวแกเอง ทิมเป็นเกย์ปากร้าย นี่ขนาดแปลมาแล้วยังสัมผัสได้ว่าถ้านั่งคุยกับอีนี่กูต้องแพ้แน่ๆ จริงๆ อยากอ่านเวอร์ชันต้นฉบับ เพราะน่าจะมันส์กว่านี้ แต่หาซื้อในเมืองไทยไม่เจอเลย แต่เล่มแปลดดนคุณจิตราพร โนโตดะ ก็มิได้ยิ่งหน่อย บางช่วงมันเป็นภาษาไทยที่มันส์มากจนอยากรู้เลยว่าภาษาอังกฤษมันเขียนว่ายังไงถึงแปลมาได้เป็นประโยคนี้คะ
อ่านเล่มนี้เหมือนกับได้ทำความเข้าใจมนุษย์สองชาติในคราวเดียว ทั้งเมกันทั้งญี่ปุ่นเลย...