Showing posts with label 2014. Show all posts

The Master (2014)




The Master 
(2014, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A) 

- รู้จักร้านพี่แว่นในนามร้านพี่คนนั้น ตอนอยู่ซัก ม.5 ได้มั้ง เป็นช่วงที่เข้าพันทิปบ่อย เริ่มหาหนังที่ไม่มีในร้านเช่าดู ซึ่งพอไปเสิร์ชก็จะเจอว่าหาได้ที่ร้านพี่คนนั้น แล้วมันพี่คนไหนวะห่า 

- ไม่เคยไปร้านพี่คนนั้น แล้วก็หาหนังที่อยากดูไม่ได้ จนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนี่แหละถึงได้ไปยืมวิดีโอที่ห้องสมุดดู 

- แต่ได้เป็นลูกค้าทางอ้อมของพี่แว่น ด้วยการซื้อแผ่นพี่แว่นแบบก๊อปอีกที ไม่รู้ว่าเป็นการก๊อปรอบที่เท่าไหร่ แต่ยังไงเราก็ได้เห็นโลโก้ร้านแกโผล่ที่มุมขวาบนในหนัง 

- จึงถือว่ามีความผูกพันกับแกพอสมควร หนังที่แกโมก็ช่วยให้เราทำรายงาน และเรียนจบรอดออกมาเป็นผู้เป็นคนได้ จึงเอาดอกเข็มไหว้แผ่นหนังเวอร์ชั่นก๊อปพี่แว่นในวันไหว้ครู กราบบบบ...

- เพราะงี้ถึงไปดู The Master และเมื่อดูจบก็รู้สึกว่า ความผูกพันของเรานี่มันแค่กระผีกเดียวของคุณูปการของแกต่อวงการหนังนอกกระแสในเมืองไทยจริงๆ

- หนังมันเล่าเรื่องเหมือนฉีดยา พอทิ่มเข็มเข้าไปยามันก็เดินทางไปตามเส้นเลือดท่อใหญ่ตามทางที่มันเข้ามา จนไปเจอเส้นสายเส้นเลือดเล็กน้อยมันก็ไหลกระจายออกไป ตอนเริ่มต้นมันสงบมาก แต่พอสุดท้ายแล้วมันกระจัดกระจายยุ่งเหยิงไปหมดเลย

- เหมือนกับยุคสมัยด้วยมั้ง ช่วง 90 มันเหมือนจะเริ่มเปิด เริ่มกว้าง เริ่มทันสมัย แต่มันยังไม่สุดเพราะความอนาล็อก จนพอถึงช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค 2000 มันเร็วเลย จังหวะของหนังมันก็ช้าเร็วไปตามนั้นเหมือนกัน ช่วงต้นมันสงบมาก แต่ตอนท้ายคือมันเร็วไปหมดเลย 

- เรารู้สึกมากตอนที่หนังมันพามาถึงจุดที่คนรุ่นลูกมันโตจนอิ่มแล้วจะมาฆ่าคนรุ่นพ่อ เรื่องลิขสิทธิ์นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยนะ คือหนังมันออกจะมีข้างชัดเจนอยู่ดูจากคนที่มาให้สัมภาษณ์ มันจึงเป็นหนัง Rise and Fall ของใครก็ไม่รู้ที่วันนึงแกมีอิทธิพลจากธุรกิจมืด (โห พูดแล้วดาร์คเลย) และแกเองก็กลายเป็นตัวละครสำคัญให้วงการภาพยนตร์ในบ้านเรามันโตขึ้นมา คนที่โตมากับธุรกิจมืดของแกพอถึงวันนึงเขาก็ทำเพื่อหนังที่เรารักเหมือนกัน แต่เป็นธุรกิจสว่าง (อย่างเคสเปิดโรงหนังเฮ้าส์) ช่วงสั้นๆ ในหนังตอนนั้นเราอยู่กับมันนานที่สุดเลย มานั่งคิดว่า เออ ถ้าแกเป็นคนยุคนี้ แกมีโอกาส มีทุนหรืออะไรพอสมควร แกจะเลือกทางนี้มั้ย 

- เอาจริงๆ มันไม่ได้กระทบโดยตรงในทางธุรกิจหรอก เพราะโรงหนังยังไงก็ไม่มีทางฉายได้ทุกเรื่อง จำนวนเยอะได้เท่าหนังแผ่น มันแค่ขัดแย้งกันในทางคอนเซ็ปท์เฉยๆ

- กราบการตัดต่อที่ช่วยให้เราไหลไปตามหนังได้อย่างไม่สะดุดเลย แม้จะมีบางช่วงที่มันดูจะข้ามไทม์ไลน์ไปบ้าง คือถ้าแกไม่มีตัวเลขปีขึ้นมากำกับเราก็จะไม่มีปัญหาไง แต่ช่วงท้ายๆ ผู้ให้สัมภาษณ์แกพาเรามาใน context ปัจจุบันไปแล้ว แต่พอตัดขึ้นจุดเวลาในหนังมันขึ้นมาเป็นปี 2008 อ่ะเราก็จูนตัวเองกลับไปใหม่ 

- แต่มันก็เป็นการซื่อสัตย์กับฟุตเทจดี

- เราตื่นเต้นนะว่าจะได้เห็นใครโผล่ขึ้นมาให้การในหนังอีก การได้ชมได้ฟัง อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพชื่นชอบหลายๆ ท่าน ปรากฏตัวในหนัง ถือเป็นกำไรชีวิตข้อหนึ่ง


- ว่าแล้วก็คิดถึงร้านขายหนังญี่ปุ่นร้านนึงในเว็บ แต่ก่อนทุกอาทิตย์จะต้องเข้าไปดูในเว็บแกว่ามีหนังอะไรออกใหม่บ้าง ส่วนใหญ่มันก็ของร้านพี่แว่นนี่แหละ ยกเว้นหนังใหม่ๆ อยากดูเรื่องอะไรแกมีหมดเลย จนซักประมาณสองปีที่ผ่านมาอยู่ๆ แกก็หายไป ไม่มีรายการใหม่ๆ อัพเดตแล้ว จนสุดท้ายก็คือหายไปถาวรเลย เหงาเลยอ่ะ คือต่อให้ซื้อร้านอื่นที่ก็มีหนังก๊อปแบบนี้เหมือนกัน แต่ความใส่ใจในการเลือก การเขียนคำบรรยายสรรพคุณหนัง มันไม่เหมือนกันว่ะ เดี๋ยวนี้พวกร้านหนังก๊อปแม่งไม่เขียนบรรยายหนังแล้ว เน้นขาย เน้นแถมอย่างเดียวเลย 


- แล้วก็พวกร้านโมแผ่นซีรีส์ญี่ปุ่นสมัยก่อน พี่ๆ แม่งแบบตั้งใจทำกันมาก คุณภาพแพ็คเกจนี่คิดกันมาอย่างดี งานคราฟท์ทุกชิ้น ไปดู Boxset ที่แต่ก่อนซื้อมาก็งงเหมือนกันว่าทำไมกูถึงต้องเสียเงินขนาดนี้เพื่อกล่องสวย และเป็นของปลอมด้วยวะเนี่ย (แต่จะเถียงอยู่ในใจว่า ก็มันไม่มีของจริงขายอ้ะะะะ) 

- มีอันนึงพี่ต่อ คันฉัตรพูดไว้ ทำนองว่า คนรุ่นเรามันยังยึดกับอะไรที่ tangible อยู่ แต่วิถีชีวิตของเด็กรุ่นนี้มันไปดิจิตอลกันหมดแล้ว ก็ว่าจริงเหมือนกัน เรายังชอบซื้อหนังแผ่นอยู่ถึงแม้ว่าจะหาโหลด หรือดูออนไลน์ได้แล้ว แม้จะพยายามปรับตัวบ้าง แต่ยังไงก็ยังสบายใจเวลาหยิบแผ่นใส่เครื่องเล่น หรือเวลานึกอยากดู ก็ไปรื้อกล่อง แล้วเจอว่าเออ เรามีหนังเรื่องนี้อยู่ที่บ้าน


- ก็คงเป็นคนแก่ประมาณนึงเหมือนกัน...


Made in Thailand 2 | Japan Gossip | เอ๊ะ!! เจป๊อป



(เนื่องจากเพิ่งหมดช่วงงานหนังสือ แล้วก็อ่านจบแบบรัวๆ ก็เลยอัพรวมรวดเดียวไปเลยละกัน เล่มไหนอยากเขียนยาวเดี๋ยวค่อยเขียนอีกที)

Made in Thailand 2 
(2557, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, สำนักพิมพ์ a book)

แม้ว่าหลังๆ จะไม่ค่อยได้อ่านแล้ว แต่ทุกครั้งที่ซื้อ A Day ก็จะต้องตามอ่าน Made in Thailand ของพี่เต๋อ และขอบพระคุณมากที่ทำการรวมเล่มให้จะได้จัดเก็บได้อย่างสะดวก

พี่เต๋อเป็นนักเขียนหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจิกกัด แขวะ เสียดสี แดกดัน กระทบกระแทก กระแนะกระแหนได้โดยไม่ค่อยอยากโกรธแกเท่าไหร่ เพราะน้ำเสียงแกฟังดูจะหยอกล้อและน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะเข้าใจว่าแกมองกดใคร เป็นวิธีการเขียนที่ต้องศึกษาเป็นอย่างยิ่งเพื่อเป็นประโยชน์ในการหลอกด่าคนแบบเนียนๆ แล้วเค้าไม่เจ็บช้ำน้ำใจ (มันดีเหรอวะ)

ที่รู้สึกเป็นเกียรติมากคือการได้มีชื่อตัวเองอยู่ในหนังสือพี่เต๋อ ในฐานะผู้แนะนำคลิป "เอากันในน้ำ" ปรากฏในบทที่สองของหนังสือเล่มนี้ รู้สึกภาพลักษณ์ตัวเองดีมาก ที่วันๆ ก็เปิดคลิปดูคนเอากันในน้ำแถมยังแชร์ขึ้นหน้าวอลล์ตัวเอง สมเป็นวัยรุ่นไทยหัวใจค่านิยม 12 ประการดีจริงๆ เลยเรา

------------------------------------------------

Japan Gossip เมาท์ญี่ปุ่นให้คุณยิ้ม
(2557, เกตุวดี, สำนักพิมพ์มติชน)

ชอบอ่านงานเขียนของคุณเกตุวดีใน Marumura เลยซื้อหนังสือแกมาอ่าน แต่กลายเป็นว่าเหมือนเนื้อหามันใช้ความสามารถคุณเกตุวดีไม่หมดอ่ะ แบบแกดูมีคอนเทนท์เยอะมาก และเราก็อยากฟังแกเล่าเรื่องญี่ปุ่นในมุมมองของคนในมากๆ แบบเรายินดีที่จะอ่านตัวหนังสือพรืดๆ ที่เขียนโดยคุณเกตุวดีโดยไม่มีทางบ่น แต่เล่มนี้มันออกแนวหนังสือแนะแนว ฮาวทูนิดๆ เหมาะกับคนที่จะไปทำงาน ไปเรียน หรือต้องร่วมวงสังคายนากับคนญี่ปุ่นบ่อยๆ แต่จริงๆ นะ มันลึกกว่านี้ได้อีกอ่ะ เขียนอีกเถอะค่ะ เอา Text เยอะๆ เลย เรารออ่านอยู่

------------------------------------------------

เอ๊ะ!! เจป๊อป A GUIDE TO JAPANESE POPULATION 
(2557, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน)

ชอบเนื้อหาของเล่มนี้มากกว่าสองเล่มที่แล้ว (เอ๊ะ เจแปน, เจแปน Did) ไม่ได้แปลว่าสองเล่มที่แล้วไม่ดีนะ แค่เราอินหลายๆ เรื่องในเล่มนี้มากกว่า อาจจะเป็นเพราะมันเริ่มเป็นกลุ่มคนที่ธรรมดาแล้วอ่ะ แบบเด็กนักเรียนมัธยม, คุณแม่บ้าน, ตำรวจ ฯลฯ มันรีเลทกับเราดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมให้คะแนนเล่มนี้มากกว่าเล็กน้อย

ขอสถาปนาตนเองเป็นแฟนหนังสือของคุณนัทคุง ขอให้เขียนต่อไป ยังไม่หมดหรอกกลุ่มคนทั้งหลายในญี่ปุ่น จริงๆ อยากให้เขียนถึงพวกละครและหนังด้วย หวังว่าจะได้อ่านในเล่มต่อไปและต่อไป :)


LEADERS

Leaders リーダーズ 
(2014, TBS)



เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก ที่ต่อมากลายเป็นอุตสาหกรรมหลักขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นให้ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในเศรษฐกิจโลก กับชีวิตช่วงหนึ่งของไอจิ ไซจิโร (Sato Koichi) ผู้ปลุกปั้น และฝันอยากจะสร้างรถยนต์สำหรับโดยสารที่มีสมรรถนะทัดเทียมกับรถยุโรปและอเมริกา แน่นอนความฝันใหญ่ขนาดนั้นมันก็ต้องมีล้มลุกคลุกคลานเป็นธรรมดา กว่าที่ไอจิมอเตอร์จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ผู้นำอย่างไซจิโรจะต้องเผชิญกับอะไร นั่นคือสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้เล่าให้เราฟัง

Leaders สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง ที่ทำการเปลี่ยนชื่อทั้งตัวละครและแบรนด์รถยนต์ แต่ฉากหลัง และเหตุการณ์หลายๆ อย่างนั้นยังคงเค้าความเป็นจริงอยู่ เลยจะว่ามันเป็นละครเล่าชีวประวัติก็ไม่ได้ จะเป็นสารคดีก็ไม่เชิง เป็นฟิคชั่นที่เล่าอยู่บนพื้นฐานของเรียลลิตี ไอจิ ไซจิโร ตัวละครหลักของเรื่อง จริงๆ แล้วก็คือ คิอิจิโร โทโยดะ (Kiichiro Toyoda) ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ Toyota ที่ในเรื่องสมมติชื่อว่า ไอจิมอเตอร์ และเราพอจะเชื่อมโยงเรื่องแต่งกับเรื่องจริงได้จากฉากหลังที่ยึดเมืองไอจิ, จังหวัดนากาโนะ บ้านเกิดของโตโยต้า



ไอจิ ไซจิโร เริ่มต้นอย่างคนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะพ่อของเขาเป็นเจ้าของกิจการโรงทอผ้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้จะว่าไป เขาก็เป็นคนที่เกิดมาบนกองเงินกองทองคนหนึ่ง ไซจิโรหลงใหลและใฝ่ฝันจะสร้างรถยนต์ที่เขาออกแบบเอง และฝันไกลไปกว่านั้นด้วยความหวังว่า สักวัน ธุรกิจรถยนต์จะเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น (เดี๋ยวนะ คือพี่ฝันระดับมหภาคมาก) ว่าแล้ว ไซจิโรผู้มีต้นทุนที่ดีจึงจัดรถเยอรมันมาหนึ่งคัน แล้วจัดการเรียกตัวหัวกะทิในโรงงานเครื่องทอผ้าของเขา มาจัดการแยกชิ้นส่วนรถต้นแบบคันที่ว่า ถอดแล้วประกอบใหม่ ถอดแล้วประกอบใหม่ ศึกษาให้แน่ใจว่ามันทำงานยังไง ก่อนที่จะได้มาเป็นรถต้นแบบ เป็นโมเดลรถคันแรกที่เป็นผลงานของคนญี่ปุ่นเอง

ถ้าเป็นหนังไทยคือจบไปแล้ว พอรถคันแรกสำเร็จธุรกิจก็รุ่งเรืองโชติช่วง แต่นี่มันยังไม่จบไง คือเรื่องไม่เล่าถึงด้านที่ดีและราบรื่นเลยค่ะ มีเรื่องให้คนดูโล่งใจแป๊บเดียววิกฤติมาอีกแล้วค่ะ ธุรกิจที่ดูใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้ใครจะไปเชื่อว่ามันแตะเส้นล้มละลายไปไม่รู้กี่ที หายใจไม่ทั่วท้องไปกี่เฮือก แต่ด้วยความที่มันกึ่งเล่าเรื่องจริง เราก็เลยโดนสปอยล์ไปแล้วเรียบร้อยว่ากิจการรถยนต์นี่มันก็รุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ผ่อนๆ อยู่ทุกเดือนนี่ก็จ่ายให้เขานี่แหละ เลยเหมือนยิ่งถูกตอกย้ำว่า ความยิ่งใหญ่ไม่ได้มากันง่ายๆ มันต้องผ่านความพยายาม อดทนมากกว่าสามร้อยครั้ง ต้องสู้จึงจะชนะ และถึงจะชนะแล้วก็ต้องสู้อีก เพราะชัยชนะมันไม่ได้อยู่ถาวร

มาแนวนี้ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันปลุกชาตินิยมญี่ปุ่นในตัวคุณอย่างเข้มข้นยิ่ง คือสิ่งที่ถูกเน้นย้ำตลอดๆ คือความทะเยอทะยานของไซจิโรนัั้น มีความก้าวหน้าสถาพรของญี่ปุ่นเป็นที่ตั้ง ความฝันของเขานั้นแม้ยิ่งใหญ่ ความหลงใหลในการสร้างรถยนต์นั้นเข้มข้นมาก แต่มันก็เป็นฟันเฟืองหนึ่งของเป้าประสงค์ที่ใหญ่กว่านั้น คือการทำให้ญี่ปุ่นไม่แพ้ใครในด้านการผลิตรถยนต์ (ท้องถนนญี่ปุ่นจะต้องไม่เต็มไปด้วยรถยุโรป อเมริกา ถนนของเรารถก็ต้องของเรา เออ เอาดิ!) ความฝันระดับอินดิวิดวล จะต้องผูกเข้ากับความรักชาติ และพร้อมที่จะผลักดันทั้งตัวเองและชาติไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน ซึ่งเราค่อนข้างชินแล้วกับการดูซีรีส์หรือหนังที่มันปลุกอารมณ์ฮึกเหิมรักชาติขนาดนี้ 



มีบางรายละเอียดที่น่าสนใจ คือการมีอยู่ของตัวละครยูคิโนะ สาวเสิร์ฟที่เข้าใจว่าเป็นเพื่อนกับไซจิโรมาตั้งแต่สมัยเรียน และหมิ่นๆ เหม่ๆ ว่าทั้งสองคนมีจิตใจต่อกันอยู่ แต่ได้กันไม่ได้ เลยกลายมาเป็นแรงใจต่อกัน ช่วยเหลือกันอยู่ห่างๆ แทน แน่นอนว่าละครที่มีฉากหลังอยู่ในยุคหลังสงครามโลก หรือยุคก่อนหน้านั้นไปอีก มันต้องโฟกัสที่ผู้ชายเป็นใหญ่อยู่แล้ว (สมัยนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ความเข้มข้นและวิธีการอาจจะเปลี่ยนไป) แต่เมื่อมันเล่าเรื่องจากยุคนี้มองย้อนไป มันมักจะมีตัวละครผู้หญิงที่มีผลต่อเรื่องมากๆ ประกอบอยู่ เป็นตัวเสริมให้ตัวละครหลักมันก้าวไปต่อข้างหน้าได้ นึกถึงอีกคนคือบท โนคาเสะ จากเรื่อง Jin ที่ Nakatani Miki เล่นเอาไว้ คือเป็นเกอิชาที่ฉลาดมาก และมีส่วนช่วยหมอจินตลอด จะเห็นว่าตัวละครนำหญิงพวกนี้จะไม่ใช่นางเอกที่มีความเป็นนางเอกเสียทีเดียว ยูคิโนะเป็นสาวเสิร์ฟ แล้วตอนหลังแกก็มาเป็นเจ้าของโรงน้ำชา ส่วนโนคาเสะก็เป็นเกอิชา ที่ตอนหลังจุดจบของทั้งสองตัวละครนี้ไม่ต่างกันเลย กลายเป็นว่าในผู้หญิงด้วยกันก็มีสองระดับเข้าให้ เมียก็คือแม่บ้าน ทำหน้าที่ดูแลบ้าน ดูแลลูก ชงชาให้กิน ทำหน้าที่นั้นไป เป็นตัวละครแบนๆ ที่เข้ามาแสดงสีหน้าสองสามอารมณ์ก็หมดหน้าที่ น่าน้อยใจอยู่เหมือนกัน 

Leaders ทำให้เราพอจะเห็นประวัติที่มาของ Toyota ในแบบที่ต้องตัดความดรามาออกไปมากๆ หน่อย กล่าวคือ มันก็เกิดจากความทะเยอทะยานของชายคนหนึ่ง ที่ฝันอยากจะเห็นรถยนต์ Made in Japan โลดแล่นอยู่บนท้องถนน เพื่อพัฒนาให้ญี่ปุ่นทัดเทียมกับชาติตะวันตก นึกถึงหนังเมื่อเร็วๆ นี้ เรื่อง The Wind Rises (2013, Hayao Miyasaki) ที่เล่าเรื่องของวิศวกรการบิน Jiro Horikoshi ผู้สร้างเครื่องบินรบสมรรถนะสูงรุ่นหนึ่งของโลก A6M Zero ที่สุดท้ายแล้วมันเป็นพาหนะสำหรับหน่วยบิน Kamikaze แม้ชะตากรรมของไซจิโร จะไม่น่าหดหู่เท่า ดร.จิโร แต่ทั้งสองก็เป็นวิศวกรผู้ใฝ่ฝันจะพัฒนาบางสิ่ง แต่สงครามก็มาเกี่ยวข้องกับพวกเขาจนได้ รายได้หลักที่พยุงธุรกิจของไอจิมอเตอร์ไม่ให้ล้มก็มาจากออเดอร์รถกระบะสำหรับใช้ในการสงคราม ทำให้เห็นว่า ในอีกด้านหนึ่ง สงครามก็เป็นจุดเริ่มต้น และผลักดันให้อุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้

ในเรื่องนอกจากจะเต็มไปด้วยชายหนุ่มที่เล่นใหญ่ถึงใหญ่มากกันทุกคนแล้ว ยังมีอัตจัง (Maeda Atsuko) โผล่มาวับๆ แวมๆ คือเป็นบทที่ไม่ได้ส่งผลอะไรกับใครเท่าไหร่ แต่แค่เห็นหน้าก็ชื่นใจแล้วค่ะ บายยยย



 

Credit: all pictures from http://www.tbs.co.jp/LEADERS2014/

The Real Alaska อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์

The Real Alaska อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์
(2557, ธนชาติ ศิริภัทราชัย, สำนักพิมพ์แซลมอน)


ธนชาติไปเที่ยว...

ช่างน่าน้อยใจที่ธนชาติคิดจะหลบความร้อนสัสที่เมืองนิวยอร์ค เมืองหลวงแห่งความคูล ขึ้นไปอยู่ในที่หนาวอย่างอลาสก้า โดยมองข้ามดอยสะเก็ด ดอยอ่างขาง และดอยหมึงที่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างไร้เยื่อใย หัวใจของเบ๊นช่างเยือกเย็นยิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งลูกไหน ขอรณรงค์ให้สมาคมคนรักการกางเตนท์บนดอยสะเก็ดออกมาประท้วงให้เป็นเรื่องเป็นราว

ปกติถ้าเราจะไม่ค่อยได้อ่านหนังสือบันทึกการเดินทางเท่าไหร่ ถ้ามันไม่ใช่ที่ที่เราสนใจจะไปอยู่แล้ว เพราะกลัวว่าอ่านแล้วจะเกิดความอยาก แต่ไปไม่ได้ จากนั้นก็จะทุรนทุราย น้ำลายฟูมปาก เดือดร้อนครอบครัวต้องหามส่งสถานบำบัด จึงตัดปัญหาด้วยการไม่อ่านแม่งซะเลย อลาสก้านี่ก็เช่นกัน เรารู้จักและสนใจอลาสก้าพอๆ กับที่รู้จักพี่เทิดลูกคนที่สามของลุงทุมเพื่อนพ่อ กล่าวคือ รู้ว่าคือใคร อยู่ที่ไหน แต่ไม่รู้ไปมากกว่านั้น ไม่ได้สนใจเป็นการพิเศษอะไรเลย 

ก็เลยไม่ได้อ่าน จบค่ะ.


...................


ซะที่ไหนเล่า... อ่านแบบรวดเดียวจบ เหมือนตอนที่อ่าน New York 1st Time  นั่นแหละ 

อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์เป็นบันทึกการเดินทางขนาด 15 วัน ของธนชาติและเพื่อนที่อลาสก้า ไม่ต้องยืดเยื้อเสียเวลาว่าเช็คอินออกจากสนามบินที่นิวยอร์คอย่างไร อาหารบนเครื่องเขาเสิร์ฟอะไร คือมึงเปิดเรื่องมาก็อยู่บนแท็กซี่ที่อลาสก้าแล้ว จึงไม่อาจจัดให้หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือนำเที่ยวได้ เป็นเรื่องเล่าความชิบหายทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นแต่ตัวนายธนชาติ และพาลเดือดร้อนไปยังเพื่อนสาวร่วมทริปแบบนั้นน่าจะเหมาะกว่า

ส่วนจะชิบหายอย่างไรนั้นคงต้องไปอ่านกันเอาเอง ...

ความทีเล่นทีจริงถือเป็นยีนเด่นของธนชาติ คือเราไม่อาจเชื่อถืออะไรที่มันเขียนได้เลยจนกว่าจะจบย่อหน้าที่สาม ถ้ามันยังไม่เบรคตัวเองแสดงว่าที่อ่านผ่านๆ มานั่นเรื่องจริงแล้วล่ะ แต่ชั้นเชิงการหักมุมของธนชาติแอดวานซ์ขึ้นไปกว่าแต่ก่อน จนหลอกให้ผู้อ่านกินอ้อยไปหลายที โดนเข้าหลายๆ ทีก็เริ่มอยากจะเอาเชนไดรท์ไปฉีดใส่หน้ามัน แล้วบอกว่า อีสัส! มึงเล่าเรื่องจริงมาเถอะ

ในเล่มแม้จะมีภาพประกอบเยอะมาก (และทุกภาพสวยมาก) แต่จินตนาการต่อแต่ละฉากในอลาสก้าในหัวเรานั้นทำไมมันคล้ายๆ ภูเขาแถวระนองเลยวะ คือสลัดภาพป่าดิบชื้นทางตอนใต้ของไทยไม่ได้ รู้สึกขาดอรรถรสไปเยอะ ต้องนั่งจ้องภาพอลาสก้าอยู่นานจนเบลอ เออ ระนองก็ระนอง อย่างน้อยก็รีเลทหน่อย จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงใส่ภาพมาให้เยอะขนาดนี้ เพราะอลาสก้ามันไม่ได้เห็นบ่อยเหมือนเกาะนามิ หรือชินจูกุ เราต้องใช้พลังมโนสูงมากในการนึกภาพให้ออก แต่หนังสือมันก็พยายามช่วยเราแหละ เพราะพอเปิดหน้าต่อไป อลาสก้าก็มารอที่อีกหน้ากระดาษแล้ว

มีสิ่งที่รู้สึกต่างจากตอน New York 1st Time อยู่อย่างนึง คือตอนนั้นมันเป็นคนไทยที่ไปใช้ชีวิตและเอาตัวรอดอยู่ที่นิวยอร์ค ยังคิดว่ามันอยู่บ้านเดียวกับเราอยู่ แต่กับ The Real Alaska เบ๊นในตอนนี้เป็นคนนิวยอร์คที่ไปเอาตัวรอดในอลาสก้าอีกที มันต่างกันนะ ถ้าเอาเบ๊นที่บินตรงจากไทยมาเล่าเรื่องเดียวกัน อาจจะได้ออกมาเป็นอีกแบบก็ได้

การเดินทางที่ดีคือการไม่อยู่กับตัวเองมากไป และเปิดใจพบเพื่อนใหม่ และเดินออกนอกเส้นทางบ้าง ซึ่งธนชาติได้ทำไว้ครบแล้วในการเดินทางครั้งนี้ น่าอิจฉามันที่ได้เจอคนดีๆ แปลกๆ คาแรกเตอร์จัดๆ เต็มทริปไปหมด และที่น่าอิจฉากว่าคือตัวละครที่อลาสก้าเหล่านั้นที่ได้อยู่ในที่ที่น่าอิจฉา ได้เป็นตัวเองอยู่ในเมืองที่มีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับทั้งคนและหมี มีภูเขาให้ดูเล่นแทนตึกสูง ท่าทางจะมีความสุขโดยไม่ต้องมีใครมาคืนให้ 

ช่างดีจริงๆ...



ปล. ธนชาติมีความหมกมุ่นกับไข่ตัวเองเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่พูดถึงซ้ำๆ มากกว่าหกครั้งในหนังสือเล่มเดียว เล่มหน้าเขียนเรื่องไข่มึงเลยเถอะ

เอ๊ะ เจแปน ควบ Japan Did

เอ๊ะ เจแปน
(2012, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน) 

Japan Did
(2013, ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล, สำนักพิมพ์แซลมอน) 



ไม่ได้อ่านหนังสือแนวเขียนถึงญี่ปุ่นมานานเหมือนกัน แม้จะรู้สึกว่าหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นมันเยอะมากๆ แต่ถ้าเข้าไปดูดีๆ คือมันเป็นหนังสือแนะนำที่ท่องเที่ยวซะมากกว่าการ "เขียนถึง" ในเชิงสังเกต เฝ้ามอง และบันทึกวัฒนธรรมหรือลักษณะอันเป็นพิเศษของประเทศหรือที่นั้นๆ 

จำได้ว่าช่วงปีสามปีสี่ ช่วงที่หลงหนังญี่ปุ่นเอามากๆ จะชอบเข้าไปหาหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่หอสมุดมาอ่าน ที่ชอบๆ ก็จะเป็นของสำนักพิมพ์แพรวท่องโลก เช่น ใต้เสื่อตาตามิ, นางาซากิ ยลเสน่ห์ล้ำ...ย้ำอดีตลึก (เล่มนี้สนุก อ่านแล้วโคตรอยากไป) ถ้าหนักหน่อยจะเป็นของโอเพ่นบุ๊คส์ ปัญญาญี่ปุ่น ที่คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมเขียน ของคุณแขก ฮิมิโตะ ณ โตเกียว ก็มันส์ ปากจัดตามสไตล์แก แต่เล่มที่จำได้หนักๆ คงเป็น เขียนถึงญี่ปุ่น ของคุณปราบดา หยุ่น 

พอมานึกย้อนหลัง ก็เลยมารู้สึกว่าเราไม่ได้อ่านแบบนี้มานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปงานหนังสือก็จะพยายามมองหาหนังสือที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น (ที่ไม่ใช่หนังสือนำเที่ยว) จนเมื่องานหนังสือปีที่แล้วเจอเล่ม Japan Did ยืนพลิกอ่านดูนิดหน่อยเห็นว่าน่าสนใจก็เลยหยิบมา แต่ดองเอาไว้เกือบปีเนี่ยเพิ่งได้อ่านจบจริงๆ จังๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง 

และเมื่ออ่านเล่มนี้จบก็เลยติดใจ ไปย้อนหาเล่มเก่าของผู้เขียนคนนี้ คุณณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล จึงไปถอยเอ๊ะ เจแปน มาแบบด่วนๆ เลย ถึงได้รวบเขียนสองเล่มในบล็อกเดียวซะ

สองเล่มนี้พูดถึงสังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่นเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ เอ๊ะ เจแปน จะเล่าถึงความเป็น "กลุ่ม" ต่างๆ ที่มีอยู่ และดูจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศนี้ ส่วน Japan Did
จะเน้นไปที่สิ่งของ, วัฒนธรรม หรือการกระทำอะไรที่มันญี่ปู๊น ญี่ปุ่น ถ้าเทียบกันสองเล่ม เราจะเพลินกับเล่มหลังมากกว่า เพราะแต่ละเรื่องที่ผู้เขียนเลือกมามันน่าสนใจ แต่พอเป็นเรื่องกลุ่มคน บางกลุ่มที่เราไม่อินเราก็ไม่อินน่ะ อ่านเป็นความรู้ไป แต่สนุกดีจริงๆ เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศนี้มากขึ้นไปอีก 


คุณณัฐพงศ์เขียนสนุกดี ความรู้แน่นและคงเกิดจากความช่างสังเกตเป็นหลัก อิจฉาที่แกได้ไปใช้ชีวิตที่นั่นนานจนรู้เรื่องรู้ราว และจับประเด็นหลายๆ อย่างมาได้ แกเล่นมุขตลกแบบพอดีๆ และกวนตีนพอประมาณ ไม่หนักข้อเท่านักเขียนร่วมค่ายท่านอื่นๆ (นี่ชมนะ) 

อยากอ่านเรื่องญี่ปุ่นที่คุณเขาเขียนอีก เลาจะลอ


Colorless Tsukuru Tazaki and his years of pilgrimage

Colorless Tsukuru Tazaki and his years of pilgrimage
Year: 2013
Author: Haruki Murakami
Translate to English: Philip Gabriel
Published: 2014 by KNOPF


ดูจะเป็นเล่มที่เนือยๆ เอื่อยๆ ไม่ได้เอพิคบ้าพลัง เต็มไปด้วยสัญญะซับซ้อนเหมือน 1Q84 บางคนให้ความเห็นว่ามันคล้ายกับตอนอ่าน Norwegian Wood ซึ่งเราเห็นด้วยครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งคือรู้สึกว่า Coloeless Tsukuru Tazaki นั้นตัวละครมันโตและมีวุฒิภาวะมากกว่า เหมือนหนังสือมันโตตามเรา ตอนวัยรุ่นเราสดใส และสับสน เราอ่าน Norwegian Wood แล้วเราอินกับมัน ผ่านมาหลายปีเราโตขึ้น นิ่งขึ้น เรื่องมันก็นิ่งไปกับเรา แต่ข้างในนั้นซับซ้อนและประนีประนอมกับโลกจริงมากกว่าตอนเด็ก ซึ่ง Colorless Tsukuru Tazaki เป็นเรื่องแบบนั้น

สิ่งที่บ่งชี้ว่ามันเป็นหนังสือของมุราคามิยังอยู่ครบถ้วนนะ ทั้งเรื่องความฝันอันแปลกประหลาด, การปรากฏตัวและหายไปของตัวละครบางตัวที่ไม่มีคำอธิบาย, เซ็กส์และเพลงแจ๊ส และการบรรยายอย่างนิ่งเรียบและโวหารตรรกะแปลกๆ ของแก ทั้งหมดนั้นยังมีอยู่ในเรื่องนี้ แต่อย่างที่บอกคือเรารู้สึกว่าตัวละครมันโต และเราทันความคิดของเขาไปแทบจะทุกเรื่อง ทสีคุรุ แตกต่างจากตัวละครนำของมุราคามิส่วนใหญ่ในเล่มอื่นๆ ตอนต้นๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นมนุษย์กลางๆ ทั่วไป แต่ไปๆ มาๆ ตัวละครนำของมุราคามิคราวนี้กลับเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบมากหากมองจากข้างนอกเข้าไป แต่ผู้เขียนพาเราเข้าไปสำรวจข้างในของคนที่ดูครบ ว่าแท้จริงแล้วมันมีช่องว่างและบาดแผลที่ไม่เคยได้เปิดออกดูซ่อนอยู่

ทสึคุรุเคยมีกลุ่มเพื่อนอีกสี่คนสมัยเรียนมัธยม ที่น่าแปลกคือชื่อของเพื่อนแต่ละคนจะออกเสียงเป็นชื่อสีต่างๆ อากะ (แดง), อาโอะ (ฟ้า), ชิโระ (ขาว) และคุโระ (ดำ) เป็นสิ่งเล็กๆ สิ่งแรกที่แยกทสึคุรุออกจากความรู้สึกเป็นกลุ่ม เพราะทสึคุรุไม่มีเฉดสี วันหนึ่งเขาถูกปฏิเสธความเป็นสมาชิกในกลุ่ม ด้วยเหตุผลที่เขาเองไม่มีวันรู้ได้ ทิ้งความสงสัยเอาไว้ และเขาจะเป็นจะตายกับชีวิตในช่วงนั้น

ผ่านมาสิบกว่าปี แผลสดนั้นหายเจ็บแล้วตามเวลาที่ผ่าน แต่มันยังทิ้งร่องรอยไว้กับเขาเสมอ แม้ชีวิตจะเดินหน้าไปด้วยดีก็ตาม ทสึคุรุได้รับคำแนะนำจากซาระแฟนสาวของเขา ให้กลับไปเผชิญหน้ากับอดีต และไปรับรู้เหตุผลที่เคยเกือบทำลายชีวิตเขา เพื่อปลดล็อกและพาตัวเขาให้ไปข้างหน้าได้อย่างจริงๆ ซักที

ในครึ่งหลังจึงเป็นการจาริกของทสึคุรุย้อนกลับเส้นทางสายอดีต เพื่อพบว่าเวลาสิบกว่าปีนำพาชีวิตคนเรา และเพื่อนของเขากระจัดกระจายไปทางไหนต่อไหน มันไม่ใช่การเดินทางจาริกเพื่อเรียกหามิตรภาพในอดีต รียูเนียน และนั่งพูดคุยเรื่องเก่าเคล้าน้ำตา (แหงสิ มุราคามิไม่เขียนเรื่องแบบนี้หรอก) แต่เป็นการไปเพื่อค้นพบ และซ่อมสร้างตัวเองของทสึคุรุมากกว่า

เอาจริงๆ เรายังรู้สึกว่าเก็บประเด็นได้ไม่ครบหมด และยังต้องค้นหาความหมายของเรื่องเล่าแปลกประหลาดของไฮดะและมิโดริคาวะให้ถ้วนถี่กว่านี้ แต่เราค่อนข้างรู้สึกในทางที่ดีกับ Colorless Tsukuru Tazaki ที่ว่ารู้สึกดีคือเรารู้สึกกับมันมาก เพราะครั้งนึงเราก็เคยเป็นอย่างที่ทสึคุรุเป็นเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ถูกโยนออกมาจากกลุ่มโดยไม่รู้เหตุผล แต่ช่วงนึงของชีวิตเราเคยเลือกเดินออกมาอยู่ห่างๆ อย่างไม่มีเหตุผลเหมือนกัน เป็นช่วงที่ติสต์แดกและไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากสันโดษขนาดนั้น เป็นชีวิตช่วงที่เซนซิทีฟมากถึงขั้นที่รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกับตัวละครตัวหนึ่งที่ชีวิตเขาน่าสงสาร อยากกอดตัวละครนั้นแล้วบอกว่า มีเราอยู่อีกคนนะ แต่ยังไม่ทันได้กอด ตัวละครนั้นก็ได้รับของขวัญเป็นตอนจบในละครที่แฮปปี้เอนดิ้ง ทิ้งให้เรากลายเป็นตัวละครที่น่าเศร้านั้นแทน

เรารู้สึกมาตลอดว่าตัวละครของมุราคามินั้นจะเปราะบาง และดูเหมือนพวกเขาจะตั้งอยู่ในระบบความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง จนทำให้พวกเขาไม่มั่นใจจะไปทางไหนซักทาง เป็นคนครึ่งๆ กลางๆ ที่กลับตัวไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ถึง บาดแผลของพวกเขาเหล่านั้นชัดเจนบ้างไม่ชัดเจนบ้าง บางทีก็มีเหตุผล บางทีก็ไม่มีคำอธิบาย แต่สำหรับทสึคุรุนั้นมันค่อนข้างจะพัฒนาไปอย่างเป็นระบบ ปมของตัวละครนี้มีที่มาที่ไปชัดเจน และสุดท้ายมันจะคลี่คลายไปในลู่ในทางที่เรานึกภาพออก ไม่ได้เป็นภาพฝันแปลกบนโลกประหลาดแต่อย่างใด

ทสึคุรุเองก็เริ่มต้นจากการเข็ดขยาดกับความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบฝากใจเอาไว้ที่ใคร บาดแผลในวัยรุ่นทำให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น ส่วนที่เหลือจนถึงตอนคลี่คลายมันจึงเป็นการพยายามโตขึ้นของตัวละครของมุราคามิ คือไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ใดเลยนอกจากเรื่องข้างในของตัวเอง เป็นการพยายามข้ามผ่านอดีตเพื่อก้าวไปข้างหน้า และทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต และคนรอบข้างว่ามันก็ต่างต้องมีทางที่ไป บางช่วงตอนและบางตัวละครสะท้อนสังคมญี่ปุ่นยุคใหม่ แต่ไม่พยายามตัดสิน เป็นมุราคามิในแบบที่พาเราไหลไปตามโลกอย่างเข้าใจ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยไม่มีประจุ

สีสันที่เคยฉูดฉาด เมื่อปล่อยทิ้งไว้ให้มันโดนอากาศ โดนความร้อน เฉดสีเหล่านั้นมันก็มีวันจางไป สิ่งที่เคยสำคัญ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา เมื่อถึงวันนึงมันอาจจะเล็กมาก เหมือนลูกโป่งที่เคยถูกอัดลมเต็มและเมื่อทิ้งไว้มันก็ฟีบ...

โดยส่วนตัวเราค่อนข้างชอบ เพราะเหตุผลข้างต้นว่ามันทำให้เรานึกถึงตัวเองช่วงหนึ่ง และก็คงเพราะเราโตขึ้นและประสาทรับรสเรามันโอเคแล้วกับรสชาติไม่จัดจ้าน ไม่ฉูดฉาดประมาณนี้ มุราคามิแกอาจจะแค่เขียนเรื่องนี้โดยใช้พลังงานระดับวอร์มสมอง รอเรื่องหน้ามาแบบเอพิคเลยก็เป็นได้ ทิ้งให้สาวกอย่างเรานั่งซึมเซาและทอดถอนใจอยู่กับตัวเอง


ตุ๊กแกรักแป้งมาก

ตุ๊กแกรักแป้งมาก 
(2014, ยุทธเลิศ สิปปภาค, B+) 


รู้สึกผิดขึ้นมาเลยที่เคยพูดว่า หนังห่าอะไรวะชื่อตุ๊กแกรักแป้งมาก เออ แต่คือชื่อมันก็ห่าเหวจริงๆ เป็นชื่อที่คุณภาพระดับหนังแผ่นวีซีดี ต้องโดนก๊อปอีกทีนะเราถึงจะซื้อมาดู หน้าหนังและทุกสิ่งเอื้ออำนวยต่อการหลีกเลี่ยงไปซื้อตั๋วเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะไม่มีคนดู และร้องยี้ตั้งแต่ยังไม่ทันดูเทรลเลอร์

แต่พอรู้ว่ามันเป็นหนังของคุณยุทธเลิศ ก็ปรับความคิดมานิดนึง บวกกับได้อ่านข้อเขียนถึงหนังของอาจารย์ประวิทย์ แต่งอักษร เลยคิดว่าคงต้องไปดู พยายามลืมหน้าหนังอันซังกะบ๊วยทิ้งไปให้หมด แล้วเปิดโอกาสให้หนังมันได้พิสูจน์ตัวเอง

ตุ๊กแกรักแป้งมาก (คือพิมพ์ชื่อไปก็เขินไป) เป็นหนังรักแบบจะว่าน้ำเน่าก็ได้แหละ พลอทมันไม่ได้แปลกใหม่ มีกลิ่นไอแห่งการระลึกอดีตอันสวยงามไม่ต่างจากตอนดูแฟนฉัน จริงๆ จุดเริ่มต้นของสองเรื่องนี้คล้ายๆ กันนะ คือมันเป็นเรื่องจริงในวัยเด็กแล้วถูกเอามาทำเป็นหนัง ในขณะที่แฟนฉันพาเรากลับไปดูอดีตแบบที่คนในรุ่นนั้นรู้สึกร่วมกัน เป็นอดีตสาธารณะ มาเร็วทุกคนมาฟีลกู้ดนอลตัลเจียกันดีกว่า และลดความเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของเรื่องไป แต่ตุ๊กแกรักแป้งมากพาเราไปดูอดีตส่วนตัวของคุณยุทธเลิศ ไม่ได้จะพยายามจะเอาทุกกิมมิคในยุคสมัยนั้นมาเล่น แต่เน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้งสอง คือ ตุ๊กแก และ แป้ง ซึ่ง ณ ขณะดู เราก็จะมีภาพซ้อนของยุทธเลิศ และ แป้ง (ที่คิดว่าเป็นคุณเข็มรึเปล่าก็ไม่ทราบ) ขึ้นมาทาบทับภาพที่เห็นบนจออีกชั้นนึง และแปลกดีที่หนังมันก็เล่าแบบนั้นเหมือนกัน คือไอ้เด็กน้องแม็คมันก็กลายมาเป็นดาราในหนังของตุ๊กแกอีกทีนั่นแหละ

และถึงแม้มันจะเป็นอดีตส่วนตัว เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่แปลกดีที่เราอยู่กับหนังได้ตลอด และอินมากกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ส่วนที่เป็นหนังรักแม้มันจะซ้ำ เชย และมีความเป็นสูตรอยู่พอสมควร แต่เราไม่ได้รู้สึกแย่กับมันขนาดนั้นน่ะ คือเรายังเอาใจช่วยตัวละครอยู่ และปริ่มเปรมใจเมื่อในสุดท้ายเรื่องมันลงเอยด้วยดี แต่ส่วนที่เราว่ามันพยุงหนังเอาไว้คือเรื่องของตุ๊กแก กับความฝันที่จะเป็นผู้กำกับของเขามากกว่า มันแข็งแรงมากจนเรารู้สึกว่า เออตุ๊กแกรักแป้งมากก็จริงนะ แต่ตุ๊กแกก็รักหนังมากเหมือนกันว่ะ

แปลกดีที่เราร้องไห้เยอะเลยตอนท้าย ทั้งๆ ที่หนังมันลงเอยด้วยดี เวรี่ฟีลกู้ด แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นความฟีลกู้ดที่ไม่มีอยู่จริงน่ะ คือมันจะฟีลกู้ดได้ก็เฉพาะในหนังเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ผู้เขียน/ผู้ทำ อยากให้มันเป็น ตุ๊กแกและแป้งคือทางออกที่ในความเป็นจริงไม่อาจมีวันนั้นได้ โรงหนังเก่าแก่ของลุงโอ่ง อาจมีชะตากรรมคล้ายโรงหนัง Stand Alone ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง แต่ทุกวันนี้ทยอยกันล้มหายตายจากไปหมดแล้ว คือเราเซอร์ไพรส์มากที่ตุ๊กแกกลับไปแล้วลุงโอ่งแกยังนั่งรออยู่ และโรงหนังของแกยังมีชีวิต และดูเหมือนว่ากระแสการบริโภคโรงหนังแบบซินีเพล็กซ์ไม่ได้ทำร้ายแกเท่าไหร่ มันเหมือนเป็นยูโทเปียของยุทธเลิศไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าเราเศร้าจนร้องไห้ไปเลย

ที่เหลือจากนั้นในตุ๊กแกรักแป้งมากส่งผลกับเราในระดับเดียวกับที่แฟนฉันเคยทำ เราเกิดไม่ทันยุคนั้นซักเรื่อง แต่ก็คุ้นเคยกับองค์ประกอบทั้งหลายที่หนังใส่เข้ามา จะว่าไปเราโตมากับหนังของคนยุคนั้นว่ะแฮะ พวกผู้กำกับรุ่นนี้ก็คือคนที่จะผ่านวัยเด็กยุค 80 ต่อ 90 และยังมีร่องรอยเบาๆ ของ 70 เพลงหรือหนังในยุคโน้น เราจะคุ้ยเคยกับมันในเวอร์ชั่นรีเมคไปแล้ว อย่างวัยอลวน, ซึมฯ, น้ำพุ, ดิ อินโนเซนท์, แมคอินทอช ฯลฯ เรารู้จักแต่ไม่ได้โตมากับมันเลย จึงกลายเป็นอารมณ์ร่วมแบบไม่สุด เพราะเราไม่มีประสบการณ์ตรงกับความออริจินอลตรงนั้น อีกซักสิบยี่สิบปี ถ้ายังมีคนทำหนังนอสตัลเจียกันอยู่ เราคงจะได้รู้สึกจริงๆ ซักทีว่าเราก็เคยครอบครองยุคสมัยนึงกับเขาบ้างเหมือนกัน

Old School 2 ความสุขของเด็ก เล็กเท่าขนม

Old School 2 ความสุขของเด็ก เล็กเท่าขนม
(ณัฐชนน มหาอิทธิดล,  สำนักพิมพ์แซลมอน, 2556)


- ก่อนซื้อลองพลิกๆ อ่าน เจอบทที่ว่าด้วยกระเป๋าจาค็อบ รู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากก็เลยซื้อ

- พอเจอคำนำเข้าไป รู้สึกใจไม่ดี ไหนบอกว่าระยำตำบอน พี่เล่นเปิดเรื่องมาหอมหวานนุ่มละมุนเป็นลาเต้ขึ้นมาเลย 

- อาการใจไม่ดีหายไปเมื่อเริ่มเข้าสู่เนื้อหา อืม...มันมันมาก ระยำดั่งคำโปรย

- หนังสือเล่าเรื่องชีวิตวัยเรียนของพวกเราชาวเจนวาย เติบโตมากับเกมส์บอย และฟังเพลงไอ เลิฟ เจนเนอเรชั่น เน็กซ์ ในรายละเอียดของแต่ละเรื่องมันจะแตกต่างกันบ้าง แต่รวมๆ แล้วเราก็อินอยู่ดี 

- หลายเรื่องที่ได้อ่านนี่เปิดโลกกิจกรรมให้เด็กที่อยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาสิบสองปีอย่างเราได้เหมือนกัน เรื่องการเทิร์นรองเท้านี่คือที่สุด ตอนอ่านหันไปถามสามีว่าเคยโดนเทิร์นรองเท้ามั้ย นายบอกว่าเคย เลยถามต่อว่าแล้วเธอทำไง นายก็บอกว่า ก็ไปเทิร์นกลับดิ โถ...ผัวกู

- ทำให้เราพบว่า แม้จะเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน มีเรื่องเล่าคล้ายๆ กัน แต่สุดท้ายมันก็จะมีกลุ่มย่อยๆ เป็นซับคัลเจอร์ เป็นวัฒนธรรมเฉพาะ เด็กหญิงล้วน ชายล้วน สหฯ มัธยมล้วน มัธยมและมีประถมด้วย เด็กประจำ ฯลฯ จะมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง อย่างถ้าเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ก็ต่างในหลายๆ ดีเทลแล้ว

- และโรงเรียนนี่แม่งเป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุด เท่าที่ช่วงชีวิตคนคนนึงจะเจอได้

- พออ่านแล้วความคิดเรามันก็จะทำงานแบบไหลย้อน คือย้อนไปสมัยเรายังเป็นวัยรุ่นตัวเหม็นๆ แต่มีพลังเยอะชิบหาย บางอย่างที่ทำก็น่าเชิดชู บางอย่างนี่แม่งก็โคตรน่าอาย เราในตอนนั้นทั้งเนิร์ด ทั้งบ้าๆ ไปนั่งอ่านเฟรนด์ชิปแม่งมีแต่เพื่อนบอกว่าเราบ้า บ้านมึงขายยาม้าเหรอ แต่กระนั้นก็โคตรเนิร์ด เคยแต่งเพลงอำลาเพื่อนแล้วขึ้นไปร้องเอง (อี๋), เคยโดยครูปกครองตัดผมให้แบบเขียวเลยอ่ะ เขียวเลย, เคยโดนครูฝรั่งตบหน้า, เคยโดนพักการเรียน ฯลฯ ก็ผ่านมาเยอะเหมือนกันเว้ย

- มีทั้งดีทั้งแย่ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่สว่างไสวที่สุดแล้วตอนนั้น 

- ตัวเราในตอนนั้น เรียกกลับมาไม่ได้แล้ว มีไว้ให้คิดถึงได้อย่างเดียว

- ขอบคุณหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เราได้คิดถึงมันอีกครั้งนึง

ฝากไว้...ในกายเธอ

ฝากไว้...ในกายเธอ
(2014, โสภณ ศักดาพิศิษฏ์, B- ) 



- เพราะเห็นว่าเป็นคุณจิม โสภณ จากลัดดาแลนด์ทำ จึงตั้งธงเอาไว้ก่อนดูว่ามันจะไม่ใช่หนังผี คือมันน่ากลัวแหละ แต่สุดท้ายมันจะไม่ใช่หนังผีที่ไม่มีที่มาที่ไป มาหลอกกันตู้มๆๆๆ แล้วก็ไป มันต้องมีอะไรบ้างแหละวะ

- สุดท้ายกลายเป็นว่าพยายามผีมากไป ทั้งๆ ที่มันแทบจะไม่มีแรงขับอะไรไปทางนั้นเลย หนังมันมีความทริลเลอร์มากกว่าจะเป็นฮอร์เรอร์ แต่เพราะหน้าหนังมันลีดไปทางผีแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้ เลยต้องใส่ฉากผีผ่างเข้ามาแบบไม่บันยะบันยัง ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยนะ คือคนดูเริ่มรู้ละ อะ มืดแล้วโว้ย กูจิกแขนรอ เอาแล้ว ไอ้พระเอกมันเดินเข้าไปในที่มืด (ทั้งที่ถ้าเป็นชีวิตจริงใครแม่งจะเดินเข้าไปวะมืดขนาดนั้น) เอาแล้วครับมุมกล้องแพนรอแล้วครับ โอ้โห บีบคั้นมากๆ ครับ โอ๊ยๆๆๆ จะไม่ไหวแล้ว โอ๊ยยยย อึดอัด อ๊ากกกกก ... ผ่าง บิ๊วกูมาสิบห้าวิเพื่อการตกใจแบบผ่างครึ่งวินาที จบฉาก ถอนหายใจ รอชมฉากบีบอารมณ์ในอีกห้านาทีถัดไป และถัดไป และถัดไป...

- เรื่องมันเหมือนจะพัฒนาต่อไปได้อีก เหมือนมีเส้นเรื่องบางอันที่เปิดมาแต่ไม่ได้ปิด บางอันก็ไม่รู้จะใส่มาทำไม บางอันก็ขยี้ได้อีก สุดท้ายมันก็ไปแบบครึ่งๆ กลางๆ ยาวไปที่จะเป็นหนังสั้น ไม่เข้มข้นพอที่จะเป็นหนังใหญ่ 

- ส่วนหนึ่งของความไม่เข้มข้นที่ว่าคือ มันไม่มีอะไรที่ควรจะเป็นเรื่องเลย คลิปในแชทนั่นก็ไปไม่สุด (บอกรักเนี่ยนะ) บทของแทนก็แบนมาก คือแกเป็นคนทำอะไรทำจริงดีจังโว้ย ชีวิตนี่โฟกัสอยู่กับเรื่องเดียวเลยคือการตามหาว่าใครฆ่าแฟนกู บทของแทนแบนจนมีจุดนึงที่เราคิดไปแล้วว่า เอ๊ะ หรือมึงเป็นภาพหลอนของเพิร์ธวะ เป็นจิตที่คอยก่อกวนไม่ให้เพิร์ธอยู่เป็นสุข แต่พอเห็นกล้ามท้องของน้องต่อจึงระลึกขึ้นมาได้ว่า น้องเขาคงมีตัวตนอยู่จริง ถึงกระนั้น แม้ต่อจะแซ่บ แต่ความแบนจนน่ารำคาญทำให้เราเชียร์เพิร์ธไปเลย เพิร์ธมึงเอาคลอรีนยัดปากไอ้แทนมันเหอะ ตามอยู่นั่น

- ถ้าจะทริลเลอร์ เชือดเฉือน ชิงไหวชิงพริบกันระหว่างแทนกับเพิร์ธ มันต้องไปสุดกว่านี้ และแทนต้องกลมกว่านี้ 

- ส่วนน้องมาร์ชก็เล่นได้ดีมาก (เหรอ) เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ระดับทุติยภูมิ เราจะเดาไม่ออกในชั้นแรก ต้องพาจิตเข้าสู่ภาวะเสมือนว่างเปล่า ถึงจะเข้าใจตัวละครนี้ น้องมาร์ชอาจจะยังแกร่งไม่พอที่จะแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้คนเดียว 

- น้องวี มีทำไม

- เก้า คือไอซ์ และสไปรท์ ไม่แตกต่างเลย 

- เออ เอาจริงๆ ทุกคนแม่งก็ยังมีร่างของตัวเองในฮอร์โมนอยู่ เอาไม่ออกเลย 

- เรื่องความสมจริง และเหตุผลทางการแพทย์เราว่ามีส่วนทำให้เรื่องมันหมดสนุกไปเยอะ มันมีแหละหนังที่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ถูกต้องในทางการแพทย์ (หรือศาสตร์อื่นๆ) แต่เค้าทำจนเราเชื่อไปเลยไง ในร้อยคนแม่งจะมีซัก 3 คนที่ตะขิดตะขวงใจ และ 1 คนที่มั่นใจแน่ๆ ว่าหนังแม่งมั่ว แต่อันนี้นี่ตะขิดตะขวงตั้งแต่ดูแล้ว ว่าเฮ้ย ใช่เหรอว้าา อย่างงี้เหรอว้าา กลายเป็นแทนจะโฟกัสกับหนังต่อ สมาธิเราเลยไปจดจ่อกับเหตุและผลของฉากนั้น และส่งผลต่อฉากต่อไปไปเลย 

- มีส่วนที่ชอบอยู่เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ชอบตั้งแต่ลัดดาแลนด์ คือเพราะลัดดาแลนด์มันไม่ใช่หนังผีโดยแท้ แต่ใช้ผีเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องดราม่า ผีจึงเป็นแค่เงื่อนไขหนึ่ง สำหรับเรามันจึงเหมือนว่าไม่มี แบบ พอดูจนจบแล้วเราสามารถคิดได้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้มีผีหรอก มันเป็นภาพจำลองจากจิตของตัวละครที่หลอกเรา (และเขาหลอกตัวเอง) ว่ามี หรือถ้ามีคือมันเป็นผีที่มีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป ฝากไว้ฯ นี่ก็ยังมีอะไรแบบนั้น แต่อยู่ในดีกรีที่เบากว่า

- ชอบฉากแม่ไอซ์ดักรอที่ประตูบ้าน อันนี้ดีมาก

- หลายฉากนี่ไม่รู้ตั้งใจให้ขำรึเปล่า แต่วัยรุ่นร่วมโรงของดิฉันฮากันขี้แตกขี้แตน คือหมดอารมณ์ไปเลยเหมือนกันนะ เพิร์ธกินไข่วัยรุ่นก็ฮา, ลูบท้องวัยรุ่นก็ฮา และมาพีคสุดคือตอนเพิร์ธบอก แม่ เพิร์ธท้อง ฮากันหมดเลยค่ะ แล้วที่ผ่านมามึงกรี๊ดอะไรกัน ถ้าจะขำขนาดนี้ พูด! 

- ผิดหวังนิดหน่อยค่ะ เพราะหวังจะได้เห็นอะไรแปลกใหม่จากจีทีเอชบ้าง (หลังจากไม่ได้เห็นมานาน) แต่ก็ไม่ได้เห็น จึงขอจบไปแบบดื้อๆ แบบนี้แล


The Fault in Our Stars

The Fault in Our Stars 
(2014, Josh Boone, B-) 


มันเป็นเรื่องเศร้าที่เล่าแบบสว่าง ตั้งแต่อ่านหนังสือแล้ว คือเราไม่ได้ร้องไห้ตาบวมสลบคาหนังสือแล้วตื่นขึ้นมาร้องใหม่ แต่พออ่านจบแล้วมันจะหนักๆ ซึมๆ กำลังจะหดหู่แล้วแต่ก็ยังพอเห็นแง่งาม มองเห็นความหวังอยู่บ้าง ซึ่งในหนังมันก็ยังทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนั้นนะ คือไม่ได้เศร้าจนต้องฟูมฟายอะไร

โอเค พลอทมันมีวัตถุดิบเรียกน้ำตาอยู่แหละ เพราะมันเป็นหนังมะเร็ง แล้วไม่ได้เป็นคนเดียวด้วย คือคนสองคนที่เป็นมะเร็งมารักกัน ยังไม่ต้องอ่านต้องดูก็มองเห็นความเศร้าอยู่รำไร แต่วิธีการเล่าของ John Green (คนเขียนหนังสือ) มันต่างไป คือเอามะเร็งไปเป็นเรื่องรอง แล้วดึงชีวิตขึ้นมาเป็นเรื่องหลัก แถมตัวละครยังเป็นวัยรุ่นอีก เฮ้ย คือมันเศร้า วัยรุ่นที่กำลังสว่างไสวต้องมาเจอโรคร้ายแบบนี้มันเศร้า แต่เขาเล่าแบบเอาเรื่องเศร้าไว้ข้างล่าง เอาความสดใสขึ้นมาข้างบน เพื่อบอกว่าคนพวกนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ยังทำนู่นนี่ได้แม้ว่าจะมีถังอ๊อกซิเจนกับขาเหล็กเป็นเครื่องระลึกว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแรงดี 

ประเด็นหนึ่งในหนัง พูดถึง "ความกลัวที่จะถูกลืม" กลัวว่าวันนึงถ้าเราไม่อยู่แล้ว เราจะไม่มีตัวตนแม้ในความทรงจำของใคร ทำให้นึกถึงหนังญี่ปุ่น A Story of Yonosuke (2013) ที่พูดถึงเรื่องประมาณนี้เหมือนกัน แต่เล่าโดยผ่านคนรอบตัวที่เคยทำอะไรร่วมกับโยโนสุเกะ พอดูจบเราจะรู้จัก และรักโยโนสุเกะ แม้ว่าเขาจะมาในแบบชิ้นส่วนความทรงจำของคนโน้นคนนี้ก็ตาม

เราชอบที่บทมันเก็บประเด็นจากหนังสือมาครบถ้วนดี แบบบทมันแม่นและแน่นมาก ชื่นชมผู้เขียนบทเลย แต่หนังมันยังไม่ค่อยแม่นยำเท่าไหร่ ช่วงต้นจะเห็นได้ชัด แต่ช่วงหลังดีขึ้นในระดับเอาตัวรอดไปได้ ดีที่สุดสำหรับเรามีอยู่สองตอน คือฉากปาไข่ (ร้องไห้ก็ตอนนี้แหละ) และฉากที่บ้านแอน แฟรงค์ คือมันเป็นซีนโปรดตั้งแต่อ่านหนังสือแล้ว และคาดหวังมาก และพอหนังทำถึงจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี 

สงครามและโรคร้ายขโมยความสว่างไสวของชีวิตวัยรุ่นไป แต่เรื่องเล่าของพวกเขายังอยู่ และตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ

10 ข้อ เรื่องการเที่ยวคนเดียว



ได้อ่านบทความที่ว่า เหตุผลที่เราควรเที่ยวคนเดียวซักครั้งในชีวิต ในฐานะที่เคยเที่ยวคนเดียวสามสี่ครั้ง ทั้งในและนอกประเทศ จนเหมือนจะเป็นความชอบ เลยอยากบันทึกถึงเรื่องนี้เอาไว้บ้าง และพบว่ามีอยู่ 10 ข้อ ที่จะเกิดขึ้นกับเราเวลาไปเที่ยวคนเดียว ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมด และก็ไม่ได้เลวร้ายน่ากลัว เป็นข้อสังเกตที่มาจากประสบการณ์ของเราเอง อ่ะ ลองไปดูกัน...




1. อยากทำอะไรก็ทำ 
อันนี้คือข้อดีที่สุดของการไปเที่ยวคนเดียวในความเห็นเรานะ เพราะปกติถ้าไปกับเพื่อนเป็นโขลง หรือต่อให้ไปสองคนก็เหอะ มันต้องมีความเกรงอกเกรงใจ เราชอบหยุดถ่ายรูป ซึ่งถ้าคนที่ไปด้วยไม่ถ่ายรูป เขาก็จะเดินนำไปละ ดังนั้น เราก็จะถ่ายรูปอย่างด่วน เอาให้จบไวๆ แล้วก็วิ่งตามเพื่อนไป

แต่กับการไปคนเดียว ถ้านึกอย่างจะถ่ายรูป ต่อให้เป็นรูปที่ไร้เหตุผล เช่นรังแตนที่ติดอยู่บนยอดต้นข่อย เราจะทอดเวลาไปกับการถ่ายมาโครให้เห็นดีเทลของรังแตนไปสองชั่วโมงก็ไม่มีใครว่า เพราะไม่ต้องเกรงใจใคร และไม่มีใครรอเราอยู่ เป็นช่วงเวลาปลดปล่อยความต้องการเบื้องลึกที่เก็บซ่อนไว้มานานของมนุษยชาติ

อนึ่ง การเที่ยวคนเดียวนั้นเหมาะมากสำหรับการไปพวก พิพิธภัณฑ์, แกลเลอรี, หอศิลป์, ปางช้าง, สถานีอวกาศ, อาบอบนวด (พอแล้ว)


2. ไม่เขินเวลาหลง
คนเรามันก็มีฟอร์มไง ทีนี้ถ้าไปกันหลายคนแล้วเราพาเพื่อนหลงนี่มันก็เขินใช่มั้ย แต่ถ้าเราไปคนเดียว ประสบการณ์เสียฟอร์มทั้งหลายมันจะอยู่กับเราคนเดียวนี่แหละ

ปล. ส่วนใหญ่ถ้าเราเดินหลง แล้วมาเขียนเล่าเรื่องในบล็อกมักจะใช้คำว่า "เดินเล่นสำรวจเมือง" ดูไม่เสียฟอร์มแถมเท่อีกต่างหาก (เท่ตรงไหนฟะ)


3.ชีวิตมันช้าลงนิดนึง
ข้อนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการไปเที่ยวคนเดียว หรือจากการเที่ยวแบบอันแพลน เพิ่งมารู้สึกตอนไปเที่ยวคนเดียวครั้งล่าสุดนี่แหละว่าเวลามันผ่านไปช้าจัง มันคงไปเกี่ยวโยงกับข้อแรก คือเราได้ใช้เวลากับสิ่งที่เราสนใจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องไปเสียเวลากับอะไรที่เราไม่สน ไม่ต้องรอใคร และไม่ต้องให้ใครรอ รู้สึกนิ่งขึ้น และได้ใช้เวลาไตร่ตรองตัวเองมากขึ้นนิดนึง


4. กินได้ไม่เต็มที่
การเที่ยวคนเดียวมันดีตรงที่เราอยากกินอะไรก็กิน แต่เสียตรงที่กินได้ไม่มาก ปัจจัยหลักคือไม่มีเงินโว้ย ปกติถ้าไปกันหลายคน เราก็จะสั่งอาหารแบบ N+1 (จำนวนคนที่ไป บวกไปอีกหนึ่งอย่าง) ก็จะได้ชิมอาหารหลากหลายเมนู แถมหารเงินได้ด้วย แต่พอไปคนเดียว จะสั่งแบบมุทะลุอย่างนั้นก็ได้ แต่เราจะกินไม่หมด และเราจะไม่มีเงินจ่าย เป็นคนล้มละลาย ช่างน่าอับอาย โดนคนในพื้นที่ทำร้าย ทรมานร่างกาย พอแล้ว..

ดังนั้น เวลาเราไปเที่ยวคนเดียว ก็เลยจะตัดเรื่องอาหารไปเลย แบบว่าจะไม่โฟกัสกับของกินนะ กินเพื่ออยู่นะมึงนะ ดีกรีการตามล่าของอร่อยก็จะอยู่ในเลเวลสี่ คือพอแหลกล่าย คนพื้นที่เขากินกัน ราคาเป็นกันเอง


5. ขาดตัวหาร 
ต่อเนื่องจากเรื่องกิน เรื่องการเดินทาง หรือการเที่ยวแบบเหมาลำในบางที มันจะดีกว่าถ้าเรามีตัวหาร เช่น ถ้าเราไปเที่ยวในเมืองที่ระบบขนส่งมวลชนไม่อำนวย เราก็ต้องขึ้นแท็กซี่ หรือเหมารถสองแถว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราไปคนเดียวเอ็งก็จ่ายคนเดียวไปนะสิ  ถ้าเรากระเป๋าหนักก็ว่าไปอย่าง แต่คิดว่าส่วนใหญ่เราไปเที่ยวก็เขียมกันสุดฤทธิ์ (สังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของกระทู้ประเภท เที่ยว XXX ด้วยงบ XXX กระทู้ไหนใช้งบน้อยจะยิ่งได้รับความสนใจ ต่อไปคงถึงขั้น 250 บาทก็เที่ยวอเมริกาได้) อะไรที่ประหยัดได้เราก็คงอยากประหยัด

มันก็มีวิธีแก้อยู่บ้าง เช่น ถ้าไม่อยากเหมารถสองแถวก็โบกหารถที่จะผ่านไปแถวนั้น แล้วก็ขออาศัยเขาไปด้วย มันสนุกนะ แต่กว่าจะโบกได้ซักคันมันไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อโบกไปถึงที่หมายได้ แต่หารถกลับมาไม่ได้ก็เคยมาแล้ว ก็เดินกลับอย่างพ่ายแพ้ ปวดขาไปอีกสองวัน


6. ไม่มีใครถ่ายรูปให้ 
สำหรับท่านที่มีไม้เซลฟี่ก็อาจจะไม่คิดว่ามันเป็นปัญหามากเท่าไหร่ แต่เอาจริงๆ ก็เขินนะถ้าต้องถืออีไม้เซลฟี่ถ่ายรูปกับสถูปเจดีย์อยู่คนเดียว ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาคงคิดในใจว่าให้ป้าช่วยถ่ายมั้ยหนู แต่พอเราให้ป้าถ่าย รูปที่ออกมาก็มักไม่ถูกใจศิลปินแห่งชาติอย่างเราๆ ปากก็บอก "ขอบคุณนะคะป้า รูปสวยมากเลย" พอป้าเดินไปก็คิดกันในใจว่า  มุมกล้องของคุณป้ากว้างซะจนต้องไปพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลแล้วล่ะว่าอีในภาพนี่ใช่เราแน่ๆ เหรอวะ


7.ได้เจริญสติ
การเที่ยวคนเดียวมันมีอิสระก็จริง แต่มันก็อันตรายเหมือนกัน ทั้งระหว่างเดินทาง ระหว่างเดินเที่ยว ไหนจะข้าวของมีค่า ไหนจะพรหมจารีที่ถือมาด้วย โอ๊ยมันช่างละเอียดซับซ้อน

อย่างตอนไปเที่ยวคนเดียวครั้งล่าสุด แรกทีเดียวแพลนว่าจะขึ้นรถไฟตู้นอน เพราะข้อดีคือเราได้นอนเหยียดยาว พอเช้าตื่นมาก็ถึงพอดีแล้วออกเที่ยวได้เลยไม่เมื่อยเนื้อตัว แต่คิดอีกที เราเป็นคนหลับลึก ถ้าระหว่างหลับใครเขามาเอาบุหรี่จี้เราก็ไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนใจ ขึ้นรถทัวร์ไปแทน

ทางที่ดีคือต้องรู้ตัวเราตลอดเวลาว่าทำอะไร ระวังแต่ไม่ใช่ระแวง ไม่งั้นตอนเที่ยวมันไม่สนุก เราว่าแค่มีสติอยู่ตลอดเวลา ก็เพียงพอในระดับนึงแล้วสำหรับการเที่ยวคนเดียว


8. คนข้างๆ
เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้นั่งข้างใครบนรถทัวร์ มันไม่ใช่ในละครที่จะเจอพระเอกกล้ามล่ำ ที่เราสาวเปิ่นนอนหลับแล้วเผลอเอียงหัวไปซบไหล่เขาน่าเอ็นดู จนกลายเป็นความรัก เรารับได้รึเปล่าถ้าต้องนั่งข้างคุณลุงที่นอนกรน และขากสเลดตลอดเวลา, รับได้รึเปล่าถ้าคนข้างๆ เท้าเหม็นระดับเก้าต้องเอายาดมยัดจมูก, รับได้ไหมถ้าคนข้างๆ ขยับร่างกายคล้ายซ้อมยูโดไปตลอดทาง หรือไม่ก็ตดตลอดเวลาแต่ทำท่าเนียนๆ ว่ากูไม่ได้ตดนะจ๊ะ

เราเลือกคนข้างๆ ไม่ได้ และก็เช่นเดียวกัน เราก็เป็นคนข้างๆ ของคนอื่นเหมือนกัน  นึกถึงเขา นึกถึงเราเอาไว้จะดีที่สุด


9. บรรดาคนแปลกหน้า
การเที่ยวคนเดียวเปิดโอกาสให้เราได้พบเจอคนใหม่ๆ ตั้งแต่ออกเดินทางและระหว่างทาง อันนี้เราว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวแล้วว่าคุณไปเที่ยวคนเดียวเพื่ออยู่กับตัวเองคนเดียว หรือออกเดินทางคนเดียวเพื่อทำความรู้จักใครก็ไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างหลัง สิ่งที่ต้องทำคือพูด ถ้าคิดว่ามันยากก็เริ่มจากการถามคำถามก่อนก็ได้ เช่น "รถนี่มันจะไปจอดที่ไหนนะคะ" "ร้านนี้ไปทางไหนอ่ะพี่ มีคนแนะนำมาว่าอร่อย หรือพี่มีร้านอื่นอร่อยแนะนำมั้ยคะ" แล้วก็ค่อยต่อยอดบทสนทนาต่อไป

ส่วนตัวเวลาเราไปเที่ยว แม้จะเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน แต่เมื่อได้คุยกันจริงๆ แล้วจะชอบฟังมากกว่า สมองจะทำงานหนักมากเพราะต้องคิดคำถามให้พี่เขาพูดต่อ อย่าหยุดพี่ อย่าหยุด จนคนที่คุยด้วยคงอยากด่าว่ามึงจะถามอะไรกูนักหนาวะ

สิ่งที่ดีของการคุยกับคนแปลกหน้าเวลาไปเที่ยว คือเราจะมีคนและเรื่องเล่า ที่จะกลายเป็นภาพจำเมื่อนึกถึงที่นั้นๆ ในแบบที่กูเกิ้ลไม่สามารถหาได้เจอ


10. เรื่องเล่าของเราเอง 
ทุกการเดินทางจะมีเรื่องเล่าเสมอ ไม่ว่าจะไปกันกี่คน กับเหตุการณ์นึงที่เจอ แต่ละคนก็จะมีเรื่องเล่า หรือมุมมองความคิดเห็นต่อสิ่งนั้นแตกต่างกันในระดับโมเลกุลอยู่แล้ว แต่สำหรับการไปคนเดียว สิ่งที่เราเห็นและเจอ จะเป็นความทรงจำส่วนตัว เป็นเรื่องเล่าเฉพาะ ที่มีเราคนเดียวที่ได้เห็นและรับรู้ เก็บเอาไว้คิดถึงให้สยิวกิ้วอยู่คนเดียวเวลานั่งคว้างๆ ตอนตีสอง

แต่ก็นั่นแหละ ทุกการเดินทางมีเรื่องเล่าเสมอ ไม่ต้องไปคนเดียว ก็มีเรื่องเล่าเหมือนกัน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เราว่าการเที่ยวคนเดียวมันเป็นความชอบ เป็นรสนิยมส่วนบุคคลนะ คือ มันไม่ใช่กิจกรรมชิคๆ คูลๆ เพื่อบอกว่าตัวเรานี้เป็นฮิปสเตอร์เราจึงไปเที่ยวคนเดียว หรือในอีกทาง มันก็ไม่ได้อันตรายน่ากลัว จนต้องแพนิคกันเกินเหตุ บางทีมันก็เป็นจังหวะเวลาของคนเรา ที่ปกติอาจจะไม่ได้ชอบเที่ยวคนเดียวหรอก แต่ฮอร์โมนช่วงนั้นมันแปรปรวนก็เลยหิ้วกระเป๋าออกจากบ้าน ตัดภาพอีกทีคือไปโผล่ในป่าดิบชื้นทางภาคใต้นั่นแล้ว

เรากลับไม่อยากให้มองว่าการทำอะไรคนเดียวเป็นเรื่องแปลก ไม่ต้องถึงขั้นเที่ยวคนเดียวหรอก แค่ไปดูหนังคนเดียว, กินข้าวกลางวันคนเดียว, ขี้คนเดียว (อ๋อ เค้าขี้คนเดียวกันอยู่แล้วนะ) ฯลฯ มันเป็นเรื่องที่ทำกันได้ ไม่ได้แปลก ไม่ได้เหงา ไม่ได้เปลี่ยว ไม่ได้เกลียดโลก ไม่ได้ต้องเฝ้าระวัง มันก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่คนเราก็ทำได้เหมือนกัน ให้คุณค่าไม่ต่างจากการทำอะไรหลายคน และสกิลการทำอะไรด้วยตัวคนเดียวได้ มันก็จำเป็นต่อการดำคงชีวิตอยู่เหมือนกันนะ