Anomalisa: เธอที่ไม่ซ้ำ

1:30 AM NidNok Koppoets 0 Comments

Anomalisa
(2015, Charlie Kaufman-Duke Johnson, A)


*สปอยล์แน่นอน

1.
กำลังจะเขียนถึงหนัง แต่เน็ตช้าเหลือเกิน เลยโทรเข้าไปหา Call Center สงสัยเป็นเพราะดึกแล้วเลยโทรติดง่าย ได้คุยกับคนไวหน่อย ไม่ต้องรอสายนาน

ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงเจื้อยแจ้ว เธอให้บริการตามมาตรฐานที่เทรนมาอย่างดี ถามคำถามที่เดาว่าคงเป็นไบเบิลแปะไว้ที่โต๊ะทำงานแล้วว่า ถ้าลูกค้าโทรมาให้ถามอันนี้ก่อน แล้วตามด้วยอันนี้ และอันนี้

เราแจ้งเธอไปว่าสองสามวันมานี้เน็ตช้ามาก เธอรับปากว่าจะช่วยตรวจสอบให้ คุณลูกค้ามีอะไรถามเพิ่มเติมอีกไหม ทั้งหมดนั้นเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีอารมณ์ เหมือนกำลังคุยกับระบบอัตโนมัติ ที่มันเป็นสคริปต์ไปทั้งหมด เราเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงปัญหาอินเตอร์เน็ตเรามันได้รับการแก้แล้วใช่มั้ย และเพราะเธอให้เราถาม เราก็เลยถามกลับไป ว่าแล้วมันจะยังไงต่อนะ เรื่องเน็ตเราเนี่ย

เฮ้ย เธอคนนั้นพูดเหมือนเดิม เป็นการพูดทวนซ้ำประโยคเดิม ตามสคริปต์ที่ปรินท์แปะไว้ที่โต๊ะ น้ำเสียงเจื้อยแจ้วไม่สื่ออารมณ์เหมือนเดิม

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกับมนุษย์ระบบอัตโนมัติ กูเล่นเน็ตด้วยความเร็วแบบพอเพียงแบบนี้ต่อไปก็ได้ แล้วก็วางสายไป

2.
เมื่อกี๊ไปดู Anomalisa (2015) มา Michael Stone (David Thewlis) ตัวเอกของเรื่อง เป็นนักเขียนหนังสือระดับเบสท์เซลเลอร์ชื่อ “How May I Help You Help Them?" คัมภีร์ที่ช่วยชีวิตคนทำงานบริการลูกค้า (Customer Service) ที่ใครอ่านแล้วเอาไปใช้ก็ได้ผล โด่งดังจนไมเคิลต้องบินจากแอลเอมาพูดในงานสัมนาที่ซินนิเนติ

Fregoli คือชื่อโรงแรมที่ไมเคิล เข้าพัก ทีแรกเห็นชื่อก็คิดว่าเป็นโรงแรมเชนหรูที่มีอยู่จริง แต่พอมาอ่าน Trivia หนัง เลยได้รู้ว่า จริงๆ มันเป็นชื่ออาการป่วยอย่างหนึ่ง ที่คนเป็นโรคนี้จะเห็นสิ่งรอบกายเหมือนกันไปหมด ทั้งหน้าตา ทั้งเสียง

มีตอนนึงที่ไมเคิลกล่าวในงานสัมนา เขาบอกว่า ลูกค้าก็เป็นมนุษย์ ที่มีความรู้สึก

ไม่แน่ใจว่าไมเคิลเป็นโรคนี้มานานแค่ไหน ตอนที่เขาเขียนหนังสือเขามองเห็นสิ่งรอบตัวด้วยหน้าและเสียงเดียวแบบนี้แล้วหรือยัง ในฝันร้าย เขาเห็นสำนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่มีพนักงานหน้าตาเดียวกัน นั่งเรียงแถวด้วยโต๊ะสำนักงานหน้าตาเหมือนกัน พวกเธอเหล่านั้นกำลังให้บริการลูกค้าทางโทรศัพท์

เหมือนอย่างคอลเซ็นเตอร์ที่เราเพิ่งโทรหาเมื่อกี๊รึเปล่า พวกเธอไม่ได้ป่วยเป็นโรค Fregoli แต่สคริปต์ที่แปะบนโต๊ะ ทำให้พวกเธอเห็นทุกคนที่โทรเข้ามาเป็นเสียงและหน้าเดียวกันหมด ที่จริงแล้วเธออาจจะอยากช่วยเรามากกว่านี้ก็ได้ แต่ความเห็นใจมากไปมันทำให้เสียเวลา จะแก้ปัญหาได้รึเปล่าก็ไม่รู้ และถ้าเธอใช้เวลากับสายเรามากเกินไป ระบบมันก็จะบันทึกไว้ พอถึงตอนประเมินผลการทำงาน เธออาจจะโดนหัวหน้าดุ

มันคงน่าเบื่อ ที่ต้องฟังเสียงคนโทรเข้ามาขอความช่วยเหลือซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน เสียงพวกนั้นแตกต่างไม่เคยซ้ำกัน แต่สำหรับเธอ นี่อาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อระดับโลก

เราคือความน่าเบื่อนั้นของเธอ

3.
ในความน่าเบื่อ ไมเคิลได้เจอกับ ลิซ่า คนเดียวที่หน้าตา และเสียงของเธอไม่เหมือนใคร ไอ้ความไม่เหมือนใครมันไม่ได้เกิดจากลิซาหรอก คนเราก็ไม่เหมือนกันทั้งนั้น แต่พอเราตกหลุมรักใคร เขาก็จะพิเศษขึ้นมาทันที

เมื่อเจอคนที่พิเศษ คนที่ไม่ซ้ำ ไมเคิลอยากจะใช้เวลาอยู่กับลิซ่าทั้งคืน เธอร้องเพลงให้เขาฟัง เธอพูดไม่หยุด และเขาก็ไม่อยากให้เธอหยุดพูด เขาให้เธอพูดแม้ตอนที่ร่วมรักกัน เป็นฉากเซ็กซ์ในหนังอนิเมชันที่ดีจัง มีความเย้ายวนและอวลไปด้วยความโรแมนติก มันไม่ใช้เซ็กที่เร่าร้อน ดูแค่สังขารของสองคนในซีนก็ไม่น่าจะไปเกิดอารมณ์อะไรได้ แต่มันเกิดอารมณ์ว่ะ เรารู้สึกถึงความรักในค่ำคืนนั้นได้

ก็ควรจะรู้สึกเยอะล่ะ เพราะผู้กำกับร่วม Duke Johnson ใช้เวลาอนิเมทซีนนั้นอยู่หกเดือน (ยอมก็ได้)

ทุกอย่างมันดีหมด ดีจนไมเคิลอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลิซ่า-ผู้หญิงที่ไม่เหมือนใคร เธออาจจะกินมูมมาม พูดตอนเคี้ยว และเอาส้อมกระทบฟันหน้า อันเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบอยู่บ้าง แต่เธอก็ยินดีจะปรับให้ ขอแค่เธอยังอยู่ข้างๆ และพูดคุยกับเขาด้วยเสียงที่ไพเราะที่สุด...

เสียงนั้นหายไปแล้ว

ลิซ่ากลายเป็นทุกคนในการรับรู้ของไมเคิลไปแล้ว เสียงนั้นหายไปแล้ว

หรือว่าเสียงไพเราะคือความตื่นเต้นชั่วข้ามคืน แต่พอเราเริ่มจะทำให้มันเข้ารูปเข้ารอย พามันเข้าระบบแบบแผน เสน่ห์ที่เคยทำให้เราหลงรักก็หายไป

แล้วยังมีบรรยากาศประหลาดๆ อีกนับไม่ถ้วน หรือการทับซ้อนกันมัวๆ ของลิซ่า กับตุ๊กตาญี่ปุ่น ที่มีรอยแผลเป็นตรงจุดเดียวกัน ชื่อลิซ่าที่เธอเองก็บอกว่ามันมีความหมายในภาษาญี่ปุ่น และของเหลวที่ไหลออกมาจากตุ๊กตาตัวนั้น มันมาจากไหน

4.
ออกจากโรงมาด้วยคำถามในใจหลายอย่าง แต่อย่างไรก็ดี เราชอบประสบการณ์ที่ได้จากการดูอนิเมชันเรื่องนี้ ตอนเดินกลับบ้านก็ลองคิดดูว่า ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเหนื่อยขยับตุ๊กตาเป็นสต็อปโมชันด้วยวะ ใช้คนเล่าเอาก็ได้รึเปล่า จนถึงตอนเขียนนี่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้นะ แค่คิดว่าหนังมันพยายามอนิเมทภาพให้โคตรสมจริง แต่ยิ่งทำให้จริงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไม่จริง บรรยากาศในหนังมันเลยแปลกประหลาด นัวร์ๆ ลอยๆ เหมาะสมแล้วที่จะเล่าอะไรแบบนี้

ชอบที่มันเล่าเรื่องความสัมพันธ์ ผ่านความเป็นปัจเจกมากๆ คือทั้งหมดทั้งมวลมันอยู่ในสายตาและสมองของไมเคิลหมดเลย สุดท้ายแล้วในความสัมพันธ์ ตัวเราที่ว่าดี ก็ต้องถูกประมวลผลคัดกรองผ่านสายตาของอีกฝ่ายอยู่ดี ในผู้คนที่เหมือนกันดาษดื่น เราที่ธรรมดาๆ อาจจะเป็นคนพิเศษ เป็นแสงสว่างของใครซักคนเข้าให้ก็ได้ เป็นเราที่ไม่ซ้ำใคร ได้มีเวลาแสนวิเศษร่วมกัน

แค่ช่วงเวลานั้นอาจจะไม่ได้อยู่ตลอดไป...


0 comments: