ข้าบดินทร์

5:16 PM NidNok Koppoets 0 Comments

ข้าบดินทร์
(วรรณวรรธน์, 2554, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม)

[14/2015] 



ดูเหมือนจะเป็นนิยายรักชาตินะ (และคนเขียนเขาอาจจะตั้งใจแบบนั้น) แต่เราว่า "ข้าบดินทร์" เล่าในทางที่ต่างออกไป จนมีประเด็นอื่นโดดขึ้นมา และดีกรีความรักชาติมันไม่ได้เข้มข้นเหมือนนิยายแนวเดียวกันนัก มันเลยทำให้เรื่องนี้สนุก ร่วมสมัย และดูก้าวหน้ามากกว่า

หลักๆ เลยคือเพราะตัวเหม พระเอกของเรื่องนี่แหละ ที่ต่างไปจากพระเอกในนิยาย Genre เดียวกัน (โปรดนึกถึงพวกพี่ขุนไกร แห่งสายโลหิต อะไรทำนองนั้น) คือพระเอกในนิยายพีเรียดเนี่ย จะดีจะหล่อแค่ไหน แต่จะแพ้ทางชาติและแผ่นดินทันที ถ้าไม่ตายในสนามรบนี่โคตรไม่เท่ เกิดเป็นเมียพี่ขุนไกรแกต้องรับได้ถ้าสุดท้ายจะได้แต่ดาบผัวกลับมาเปล่าๆ เพราะผัวตายไปแล้วในสงคราม และตรงนั้นแหละที่คนดู/คนอ่าน จะซาบซึ้ง ประทับใจ ฟูมฟายกันเต็มที่

แต่กับเหม แม้จะมีวิชาดาบอาทมาต เก่งไปทุกอย่าง พูดภาษาวิลาศ (ภาษาอังกฤษ) ก็ได้ หน้าก็หล่อ ชาติตระกูลดี คือครบถ้วนทุกคุณสมบัติพระเอกพีเรียดไทย แต่เหมไม่ใช่พระเอกแบบขุนไกรที่จะพลีชีพเพื่อชาติอะไรแบบนั้น ถ้าไล่ไทม์ไลน์ชีวิตเหมดู จะพบว่า แรงขับเคลื่อนชีวิตเหมไม่ได้มาจากชาติหรือแผ่นดินอะไรเลย ครึ่งแรกคือมาจากความแค้นจนแปรเปลี่ยนเป็นความทะเยอทะยาน ส่วนครึ่งหลังพอโตแล้วคือเพราะอยากมีเมีย ไม่ใช่ว่าไม่รักนะ แต่เป็นความรักที่ Tricky หน่อยๆ (คือคำชม)

ถ้ามองแบบสมัยใหม่หน่อยคือ เหมฉลาดที่เอาตัวรอดได้ เป็นคน work-life balance น่ะ คือรักชาติก็รักนะ แต่ชีวิตส่วนตัวก็ต้องมีนะเฮ้ย เพราะเหมมีบทเรียนจากพ่อมาแล้วว่า ซื่อสัตย์ และตงฉินไปก็ตายฟรี แถมยังพาลูกเมียต้องมาซวยไปทั้งยวง บาดแผลนี้สำหรับเหมมันใหญ่มากจนทำให้เด็กหนุ่มใสๆ มองโลกกลับเป็นอีกมุมไปเลย เห็นชัดที่สุดคือการตัดสินใจของเหมในตอนท้ายเรื่อง ที่ทำให้เขาไม่ใช่พระเอกพีเรียดเท่ๆ ในนิยามแบบเดิม เป็นที่ทางใหม่ของพระเอกไทยอยู่นะ

ยิ่งตอนช่วงชีวิตเหมพลิกผันหน้ามือเป็นหลังตีนอ่านแล้วยิ่งคับแค้น และก็เห็นว่าระบบวรรณะนี่มันทำลายโอกาสคนไปมากเลย นักโทษปัจจุบันก็คือนักโทษถูกมั้ย ไม่มีอะไรต่ำไปกว่านั้น พ้นโทษออกมาก็มาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ แต่กับสมัยนั้น ที่ยังมีทาสมีไพร่ มันทำให้คนเราลืมตาอ้าปากได้ยากยิ่ง อย่างเหมที่อยู่ตรงชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ถูกถีบลงมาต่ำเตี้ยยิ่งกว่าพารามีเซียม ถ้าเป็นเราคงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะตะกายดาวกลับมายืนที่เดิมได้อย่างไร 

แต่พอถึงคราวจะได้กลับมา คือช่วงเปลี่ยนผ่านนั่นก็หน้ามือเป็นหลังตีนอีกเช่นกัน คือเมื่อวานพี่เหมกูยังโดนดูถูก ค่อนขอดอยู่เลย พอได้กลับมารับราชการ มียศตำแหน่งนำหน้า กลายเป็นว่าทุกอย่างในชีวิตกลับมาหมดเลย วางแผนแต่งงาน สร้างบ้าน มีลูก ฯลฯ แค่นี้เลย แค่มียศ ได้เข้ามารับราชการ ชีวิตมีความหวังขึ้นมาง่ายๆ เสียอย่างนั้น ยิ่งคิดเยอะเลยว่าทุกวันนี้เรามาไกลมากๆ 

ส่วนคาแรกเตอร์นางเอกไทยพีเรียดมันก็ยังฉีกไปไม่ได้มากเนอะ คือต้องเป็นเด็กแก่นเซี้ยว เข้าใจโลก สวยและแอบซ่อนความเฟมินิสต์เล็กๆ ยังไม่ค่อยเห็นมิติที่ต่างไปจากนี้เท่าไหร่ จริงๆ เราชอบคาแรกเตอร์ของ บัว ในเวอร์ชันละครมากกว่านิยาย คือเขาเขียนให้ชัดไปเลยว่าบัวเป็นผู้หญิงที่ทะเยอะทะยานสุดทางจริงๆ (ซึ่งมันอาจจะดูเกินไปซักหน่อยกับยุคสมัยนั้น) แต่เราจะไม่ค่อยพบตัวละครที่ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลแบบบัวในละคร/นิยาย ย้อนยุคเรื่องอื่นๆ นะ น่าสนใจดี

คุณูปการของหนังสือเล่มนี้ที่ดีที่สุดคือ ถ้าเราได้อ่านตอนอยู่มัธยมคงจะสอบวิชาสังคมได้คะแนนดีกว่านี้ ต้องยอมรับแหละว่าประวัติศาสตร์ช่วงนั้น (รัตนโกสินทร์ตอนต้น) มันไม่สนุก ไม่ค่อยรบราฆ่าฟัน ไม่ดราม่า ถ้าเป็นหนังคือหลับไปแล้ว แต่พอมาอ่านเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่บางท่าน เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ สมัยนั้น ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เราอยากหาอ่านต่อ อยากรู้เพิ่มขึ้น และที่แน่ๆ คือ เราแยกสนธิสัญญาเบอร์นี่ กับ เบาว์ริง ได้แล้ว (ขอบคุณข้าบดินทร์ /น้ำตาไหล)

โดยรวมคือเพลิดเพลินมากขณะอ่าน อาจเป็นเพราะผู้เขียนเป็นผู้หญิงด้วย จึงบันดาลให้ฉากรักของพี่เหมนั้นมันน่าหมั่นเขี้ยว ถูกอกถูกใจผู้หญิงด้วยกัน อีกอย่างคือเราห่างหายจากการอ่านนิยายมานาน อย่างเล่มใหม่ๆ จะอ่านก็ต่อเมื่อติดใจจากละคร ซึ่งสิ่งที่นิยายยุคหลังๆ นี้ต่างจากสมัยก่อนคือมันเร็ว ความรู้สึกตัวละครมันไม่ได้ถูกไล่เรียงหรือไต่ระดับมาจากไหน พอพ้นบท เราก็จะพบว่าตัวละครมันรู้สึก หรือมันคิดแบบนั้นไปซะแล้ว แต่ของนักเขียนรุ่นที่แม่เราอ่าน (และเราก็เลยต้องอ่านด้วย) นั่นก็ละเลียด ละเมียดละไม กว่าจะรู้สึกอะไรได้ซักอย่างก็หมดไปหนึ่งบท บรรยายคุ้งน้ำไปสามหน้า อะไรแบบนั้น 

แต่ข้าบดินทร์ไม่เร็ว ไม่โผงผาง เหลือที่เล็กๆ ให้เราเดาความนึกคิดของตัวละครบ้าง มีช่วงที่เยอะหน่อยคือตอนบรรยายเรื่องช้าง อันเป็นสิ่งที่ผู้เขียนชอบและเริ่มเขียนเรื่องนี้เพราะมีช้างเป็นตัวตั้งต้น ซึ่งเราก็อ่านข้ามๆ ไปเลยช่วงนั้น (อ้าว...) ก็ไม่อินอ่ะเนอะ แล้วมันก็ไม่ได้กระทบกันเรื่องเท่าไหร่ แต่ถ้าตั้งใจอ่านก็จะได้ความรู้มากๆ

(ที่จริงคิดไว้อีกหลายประเด็นเลยตอนอ่าน และอยากจะเขียน แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็เรียบเรียงไม่ถูก เอาแค่นี้แหละ ไปดูละครย้อนหลังดีกว่า /อ้าว จบแบบไร้สาระเฉยเลย 555)

0 comments: