ตามรอย ซากุ-อากิ Crying out love in the center of the world

11:28 PM NidNok Koppoets 1 Comments

Crying out love in the center of the world
"อยากกู่ร้อง บอกว่ากูมาแล้วโว้ย ให้ก้องโลก" 

ผ่านมาหลายเดือนจนเกือบจะลืมไปแล้ว ช่วงนี้พอได้หายใจ เลยขอบันทึกไว้ถึงการเดินทางไปตามรอยหนังญี่ปุ่นเรื่องโปรด Crying out love, in the center of the world 世界の中心で、愛をさけぶ (2004) ที่เมืองทาคามัตสึ ประเทศญี่ปุ่น (อีห่า จะเขียนให้เป็นทางการทำไม ชื่อทาคามัตสึขนาดนี้ อยู่ยุโรปเหนือมั้งอีบ้า)

(เคยเขียนไว้ถึง Crying Out เมื่อหลายปีก่อน แต่จะเน้นเวอร์ชั่นซีรีส์มากกว่า ลองไปอ่านได้ค่ะ คลิกเฮีย)

ซีนกางแขนในตำนาน

ภาพของมาซามิ นากาซาวะ ในชุดนักเรียน เดินกางแขนอยู่บนหินแปลกๆ กลางทะเล มีแดดเย็นอาบทั้งซีนจนเป็นสีส้มจัด นั่นมันติดตามาก เป็นภาพแรกที่เมื่อได้ยินชื่อหนังแล้วมันจะแว๊บขึ้นมา คิดมานานแล้วว่า ถ้าได้ไปที่นั่นก็คงดี แต่อีห่า แนวแท่นคอนกรีตบนทะเลญี่ปุ่นนี่มันกว้างไปมั้ย มึงจะไปรู้ได้ไงว่าเขาถ่ายที่ไหน ดูแค่ในหนังไปนั่นแหละพอแล้ว

แต่พอจะได้ไปญี่ปุ่นแบบซื้อพาสใหญ่ มันก็อดจะเลี้ยวไปนึกถึงการไปเหยียบแนวหินอันนี้ซักครั้งให้ชื่นใจไม่ได้นะ แหม ก็ไหนๆ ซื้อตั๋วรถไฟแบบจะไปไหนก็ได้แล้ว มึงจะไม่ไปเหยียบตรงนั้นจริงง่ะ ลองหาดูก่อนมั้ย ถ้าไปไม่ยากก็น่าจะไปนะ (บิวท์ตัวเองสุดๆ)

จึงหลวมตัวเชื่อตัวเอง เข้าอินเตอร์เน็ตค้นหาอยู่สามวัน แรกทีเดียวคือเจอแค่ว่าถ่ายที่ Aji เมือง Takamatsu ความหยาบเทียบเท่าการเดินหาบ้านป้าละม้าย ที่ตำบลโนนหินอ่อน อำเภอวารินชำราบ อะไรแบบนั้น ห่า เมืองมันก็ต้องมีตรอกมีซอยมั้ย รู้แค่นี้จะไปหาเจอได้ยังไง เลยค้นต่อไปอีก หาไปเรื่อยๆ สามวันอย่างที่บอก จนไปเจอเว็บนึง มันบอกพิกัดเอาไว้ในแผนที่ เราเลยเอาแผนที่นี้ไปเทียบกับ Google Map เพื่อหาวิธีการเดินทาง พอจะเห็นแนวทางเป็นไปได้ เลยตัดสินใจว่า เออ กูต้องไป!

และสิ่งสำคัญที่สุดของการ กูต้องไป! ก็คือ การบอกเอกชัย...

หมุดแดงคือตรงที่เราจะไป เข้าไปหาใน Google Map

ค่ะ ถ้าไปคนเดียวให้ลงไปเก็บสาหร่ายตรงนั้นยังทำได้สบายใจ แต่เพราะทริปนี้ไปกับเอกชัยไง แล้วคือเอกชัยก็ไม่ได้อินหนังอะไรกับมึงทั้งนั้น แล้วก็ต้องเดินทางไปโคตรไกล เอกชัยผู้รักการเที่ยวธีมปาร์คคงไม่แฮปปี้แน่ๆ พอหาวิธีการเดินทางได้แล้ว เลยบอกเอาไปให้เอกชัยดู แล้วบอกว่า เนี่ย มันเป็นความฝันของชั้นเลย ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแล้วว่าอยากไปที่นี่ (คือเรื่องจริงนะ ไม่ได้แต่งเพื่อบิวท์ดราม่า 555) เดินทางไปยากเลยเธอ รถไฟไปถึง (รถไฟไปถึงแทบทุกที่ในญี่ปุ่น) ได้ไปเที่ยวในที่แปลกใหม่นะ ไปกันๆ

เอกชัยพยักหน้าแบบ เออ กูไปก็ได้ เพราะคงรู้อยู่แล้วว่าห้ามเมียยาก มึงแพลนมาหมดทุกสิ่งแล้วถ้ากูไปเปลี่ยนแผนมึงกูก็หมาสิจ๊ะ (จริงๆ เอกชัยอาจจะไม่ได้คิดอะไรหยาบขนาดนี้)

เมื่อเอกชัยเอาด้วยว่าจะไป แผนที่วางไว้พร้อม ก็ตัดภาพไปวันที่เดินทางเลยค่ะ /ฉับ

วันนั้นน่าจะเป็นวันที่ 4 หรือ 5 ของเราและเอกชัยในญี่ปุ่น แผนของเราคือตั้งฐานทัพไว้ที่โอซากาและเที่ยวแถบนี้ห้าวัน ออกไปทาคามัตสึวันนึง และนั่งรถไฟยาวๆ เข้าโตเกียว และกลับเมืองไทยจากโตเกียวนี่แหละ

วิวจาก Marine Liner (ถ่ายได้แค่นี้แหละ รถมันแรง)

เราออกจากโอซากาเช้ามาก ขึ้น Shinkansen ไปลงสถานี Okayama เพื่อขึ้นรถไฟ JR Marine liner ไปลงสถานี Takamatsu อันเป็นที่หมาย ซึ่งอีรถไฟ Marine Liner นี่มันพีคมาก สรรพคุณของรถไฟสายนี้คือมันวิ่งผ่านเกาะน้อยใหญ่เพื่อเชื่อมภูมิภาค Honshu กับภูมิภาค Shikoku เข้าไว้ด้วยกัน โดยรถไฟจะอยู่ชั้นล่างของสะพาน Great Seto (Seto Ohashi 瀬戸大橋) ที่เป็นหมู่สะพานเชื่อมเกาะ ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร เป็นมหกรรมความยิ่งใหญ่ของงานวิศวกรรมและความทะเยอทะยานด้านการคมนาคมมาก อยากจะกราบญี่ปุ่นก็ตรงนี้ (ปีก่อนไปดูสะพานอาคาชิไคเคียวที่โกเบ ที่สร้างหลังจากมีอุบัติเหตุเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากล่ม คนตายเยอะ เลยสร้างสะพานแม่งเลย ยาวแค่ไหน ยากแค่ไหนก็ต้องสร้าง เพื่อความปลอดภัยของคน กราบงามๆ เลย) 

ตอนรถไฟวิ่งเหนือทะเล วิวนอกหน้าต่างคือระดับเวิลด์คลาส สวยงามเพลิดเพลินตามาก มองไปถ่ายรูปไป อ้าวข้ามอีกสะพานอีกละ ถ่ายรูปอีก โอ๊ย ตรงนั้นมีเกาะ ถ่ายอีก จะหันไปชื่นชมกับเอกชัย ปรากฏว่าคุณพี่ท่านหลับค่ะ หลับสนิท สงสัยตื่นเช้ามาก ลองสะกิดๆ ก็ไม่ตื่นนะ จบ มึงพลาดแล้วไอ้ตี๋ 

JR Takamatsu Station
หลังจากผ่านวิวที่สวยกว่าญาญ่ากับใหม่ ดาวิการวมกัน รถไฟก็เทียบท่าที่สถานี Takamatsu อันเป็นที่หมาย สถานีนี้เป็นฉากหนึ่งในหนังสือ Kafka on the shore ของ Haruki Murakami อยู่ในตอนต้นๆ เลยที่ไอ้เด็กคาฟคามันออกจากบ้านแล้วมาอยู่ที่เมืองทาคามัตสึนี่ พอมาเหยียบฉากที่เจอในหนังสือก็แปลกไปอีกแบบดี ต่างจากการตามรอยหนังนะ คนเขียนมันต้องมีความผูกพันกับฉากที่เขาเขียนแหละ อย่างน้อยก็คงเคยผ่าน และยังจำ ยังระลึกขึ้นได้ขณะเขียน แสดงว่าที่แห่งนั้นมันต้องพิเศษ ไม่งั้นเขาคงไม่จำและนำมันมาเล่า 

สถานีทาคามัตสึใหญ่โต แต่ไม่พลุกพล่าน สภาพค่อนข้างใหม่เลย สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือเอากระเป๋าเดินทางใบเท่าควายสองใบ ไปฝากในล็อกเกอร์ ซึ่งหลังจากการเดินวน 15 รอบ ก็พบว่า ล็อกเกอร์แม่งเต็มหมดสิ้นแผ่นดินญี่ปุ่น นี่ล็อกเกอร์หรือธนาคารมึงจะฝากอะไรกันนักหนา เต็มหมดทุกไซซ์ทุกขนาด ยิ่งขนาดใหญ่มึงยิ่งไม่ต้องคิดเลย เห็นบางคนแม่งคงเทละ หาที่ฝากไม่ได้ ก็โยนกระเป๋าขึ้นไปหลังล็อกเกอร์แม่งดื้อๆ อย่างนั้นแหละ ทีแรกก็อยากทำตามบ้าง แต่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย เลยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการลากกระเป๋าไปลุยบ้านนอกกันทั้งอย่างนี้แหละ (วะ) 

รถไฟ Kotoku Line หวานเย็นสุดๆ

ต่อจากสถานีทาคามัตสึ เราต้องนั่งรถไฟ Kotoku Line เป็นรถไฟท้องถิ่น ขบวนเล็กๆ บ้านๆ ไปลงสถานี Furutakamatsu-Minami ประมาณ 17 นาทีก็ถึง แบกกระเป๋าลงรถไฟมาแบบเหวอๆ เพราะมองไปรอบๆ แม่งเป็นถนนใหญ่ ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีทะเล หรือมีตรงไหนที่ใครมาถ่ายหนังเลย 

ตามที่หาข้อมูลไว้ ตรงที่เราจะไปนั้นรถไฟเข้าไม่ถึง เดินไปก็ไม่น่าจะไหวเพราะว่าไกลมาก ทางเดียวที่จะไปถึงตรงนั้นได้ คือจี้รถคนญี่ปุ่นซักคันแล้วขับไป นอกจากจะฟรีแล้วยังเอารถไปขายได้เงินมาเที่ยวต่ออีกด้วย เฮ! 

ที่ไหนล่ะโว้ยยยยยยย...แท็กซี่สิครับ ทางเดียวเท่านั้นแหละที่จะไปได้ และนี่เป็นการเปิดซิงแท็กซี่ญี่ปุ่นครั้งแรกเลย ที่ผ่านมาเลี่ยงตลอด เพราะมันแพง ไม่มีปัญญาจ่าย เสียดายเงิน อะไรเดินได้ก็เดินหมดเลย ถ้าเดินไม่ได้ก็คลานไปเอา (ตลกมากนักใช่มั้ย) แต่กับรอบนี้เรายอมจ่าย เพราะอยากไปมาก อยากทำฝันให้เป็นจริง มาเลย เท่าไหร่กูก็จ่าย มึงมาเลย มา บอกให้มาาาาา

ไม่มา ไม่มีแท็กซี่ผ่านมาเลยซักคัน (ฟิ้ววว.... /ใบไม้พัดปลิว) 

ค่ะ คือรถวิ่งกันให้พรึ่บ แต่ไม่มีแท็กซี่ซักคันเลยค่ะ มึงไปส่งรถหรือไปเติมแก๊สกันหมดเหรอถึงไม่ผ่านมารับกูเลยหาาา รอนานจนเริ่มกังวล หรือว่าเมืองนี้มันไม่มีแท็กซี่วะ แบบเป็นเมืองเล็กๆ ใครเค้าจะใช้แท็กซี่กัน เฮ้ย แต่ไม่น่าาาา ในหนังญี่ปุ่น เมืองเล็กกว่านี้ยังมีแท็กซี่ตั้งคันนึง โธ่ อีแมงกะแท้ นั่นมันในหนังโว้ย ความจริงมึงอยู่ในโลกทุนนิยม โนดีมานด์ โนซัพพลายด์โว้ย 

ร้านขนนมที่เข้าไปขอความช่วยเหลือ

เครียดมาก เลยตัดสินใจเดิน เดินไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็ไม่มีใครเดินสวนมาให้กูขอเลยซักคนเดียว เดินไปไกลจนเจอร้านขนมหน้าตาดีอยู่ร้านนึง เลยแวะเข้าไปจิบน้ำชายามบ่ายซักหน่อย โว้ยยย! จะสบายใจไปไหน ไปขอความช่วยเหลือจากเค้านี่แหละ เดินดุ่มเข้าไปบอกพนักงาน ทำหน้าตาเหรอหราให้ดูเป็นไกจินหลงทาง บอกน้องเขาว่า อยากได้แท็กซี่ จะไป Aji Post Office แล้วก็เปิดแผนที่ให้เขาดู น้องบอกว่า มึงนั่งรอเลยอีอ้วน เดี๋ยวกูเรียกให้สัส (จริงๆ น้องเค้าสุภาพมาก ขอโทษที่ทำลายคาแรกเตอร์น้องย่อยยับป่นปี้) 

นั่งรอโดยไม่ซื้อของเค้าซักชิ้นด้วยนะ (หน้าด้านสัสๆ)​ ซักนึงแท็กซี่ก็มาจอด เป็นลุงแก่ๆ เหมือนในหนัง และแน่นอนว่าแกเว่าอังกฤษไม่ได้ โอเค ได้เวลามินนะ โนะ นิฮงโกะ ของมึงแล้ว เลยรัวคำนามและกริยาใส่ลุงแหลกๆ เอาแค่ลุงไปส่งให้ถึงตรง Post Office ให้ได้ก็พอ

ลุงแท็กซี่

อยู่บนรถประมาณสิบนาที มองนอกกระจกเริ่มเห็นวิวคุ้นๆ แล้ว นี่สำคัญคือ ตรงโค้งนึง ที่เข้าใจว่าเป็นโค้งเข้าเมือง Aji มีป้ายบอกทางสำหรับคนที่จะมาตามรอยหนังเลยว่าฉากไหนอยู่ตรงจุดไหน อำนวยความสะดวกกันตั้งแต่ทางเข้า ซึ่งแน่นอนว่ากูอ่านไม่ทันค่ะ และสายตานอกจากยุ่งกับการชมวิวแล้ว ยังต้องคอยเหลือบไปมองมิเตอร์ที่ขึ้นเร็วขึ้นไว ค่าเสียหายเกือบพันแล้วเนี่ยมึง (พันเยน? พันบาทสิค้าาาา) 

และในที่สุดลุงก็พามาส่งถึงที่หมาย แต่ก่อนจะลง เราผู้รอบคอบก็ได้ทำการนัดหมายลุงให้มารับจากที่นี่กลับไปสถานี เพราะดูทรงแล้ว หมู่บ้านตรงนี้ไม่ต้องพูดถึงแท็กซี่หรอก สิ่งมีชีวิตประเภทอื่นก็ยังไม่เห็นเลยซักชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าได้กลับบ้านเลยต้องใช้วิธีนี้ ตอนแรกลองสร้างประโยคขึ้นมาเองจากพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นที่เรียนมาทั้งหมด ปรากฏว่าลุงไม่เก็ทค่ะ เลยรีบแชทไปหาเพื่อน ให้มันพิมพ์ไดอาล็อกมาให้ คราวนี้ลุงเก็ท เราบอก "ลุงๆ โคโคะๆ ตรงนี้นะ สี่โมงนะ ย่งๆๆ" ลุงพยักหน้าหงึกๆ เจอกันไอ้หนู แล้วก็ขับออกไป 


เอาโว้ย ตอนนั้นอยากกรีดร้องดังๆ แบบ กูมาแล้วโว้ยยยยยย ไกลนักใช่มั้ยมึง กูนี่แหละ มาถึงแล้วโว้ยยยย แต่เกรงใจผัว และเกรงใจเจ้าที่แบบชินโต เลยสงบปาก แล้วออกเดิน (ลากกระเป๋าไปด้วย) และใจก็ต้องเต้นแรงค่ะ เพราะภาพข้างหน้า คือป้ายที่มีโปสเตอร์หนังโชว์อยู่เด่นๆ บอกทางเข้าไป Cafe ซึ่งอีคาเฟ่นี่แหละ เป็นที่หมายหนึ่งที่เราจะมาเหยียบให้ได้ 

ภาพข้างหน้าแม่งมหัศจรรย์มาก ถ้าไม่คิดอะไรมันก็เป็นตึกเก่า รูปทรงออกไปทางตะวันตกหน่อยๆ ไม่ได้สำคัญอะไร แต่ถ้าเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ ไอ้ตึกนี้มันสำคัญ มันจำได้ มันคือฉากร้านถ่ายรูป ที่ซากุทาโร และอากิ มาถ่ายรูปแต่งงานกันที่นี่ แล้วยังไง ตอนนี้กูอยู่บนแผ่นดินตรงนี้แล้ว เกรียงไกรมาก ชีวิตเราวันนี้ 



ในชีวิตประจำวัน ร้านนี้เป็นร้านคาเฟ่เล็กๆ ขนาดสองสั้น ขายกาแฟและอาหารเบาๆ ลองเดินขึ้นไปชั้นสอง มีคนนั่งทำงาน นั่งกินกาแฟอยู่เยอะเหมือนกันนะ เลยลงมาจองโต๊ะด้านล่าง แล้วสั่งข้าวผัดกับกาแฟมาแบ่งกันกิน (ที่ไม่สั่งคนละชุดเพราะว่ามันแพง) 

ระหว่างทาน เจ้าของร้านก็มาถามๆ ว่ามาเที่ยวเหรอ เราเลยบอกว่า มาเพราะหนัง เขาก็ยิ้มๆ เพราะคงชินแล้วที่ใครๆ ก็มาตรงนี้เพราะหนัง ในร้านมีแผนที่ตามรอยหนังวางให้หยิบฟรีด้วย พอเราทานเสร็จ เลยขอเจ้าของร้านฝากลูกควายสองตัว (กระเป๋าเดินทาง) ไว้ที่ร้าน ซึ่งทางร้านก็ไม่ว่าอะไร แล้วเดินตัวปลิวออกไปล่าฝันกันต่อได้แล้วโว้ย 


เมือง Aji เป็นเมืองริมฝั่งเล็กๆ เงียบๆ เข้าใจว่าคนแถวนี้คงทำประมงกันเป็นหลัก เพราะเห็นมีเรือจอดอยู่เพียบ และมีคนนั่งง่วนกับแห และนั่งตกปลา สิ่งก่อสร้างระหว่างทางเดินก็เก่าแก่ ไม่ได้ถูกใส่ใจให้มันต้องดูสวยงามตามระเบียบมากนัก เป็นบ้านไม้เก่าๆ โชว์ลายไม้ไม่ทาสี ไม่ก็โกดังสังกะสีขึ้นสนิม สีสันในเมืองมันเลยดิบๆ เหล็กๆ หม่นๆ 

เดินเรื่อยๆ จนลึกเข้าไป ก็จะเจอแลนด์มาร์คอีกจุดนึง เป็นเสาโทริอิ ทางขึ้นวัดที่อยู่บนเขา บันไดตรงนี้อากิเคยมานั่ง และถนนโค้งนี้ซากุเคยขี่มอเตอรไซค์ผ่าน ถ่ายรูปไปสองสามแชะ แล้วก็เดินขึ้นเขาไป เพราะไฮไลท์มันอยู่ข้างบน 

 




ชิงช้าาาาาาาา...ตรงนี้ที่อากิและซากุเคยมานั่งคุยกัน ชิงช้าบนเขา ที่มองลงไปข้างล่างเป็นทะเลเงียบสงบ และภูเขาโอบล้อม ฉากในตำนานอีกฉากที่เราได้มาเหยียบ น้ำตาจะไหลแต่อั้นไว้ก่อน ขนาดเอกชัยที่มาแบบไม่รู้เรื่องยังอินไปด้วย ชวนเราถ่ายรูปใหญ่เลย 

เอาล่ะ ที่ผ่านมามันคือน้ำจิ้ม เพราะจากนี้คืองานฟินนาเล ไคลแม็กซ์ของจริงมันอยู่ตรงนี้ แนวแท่นคอนกรีตที่ว่ามันอยู่ข้างหน้ามึงแล้วอีนิดนก นาทีที่เห็นภาพนั้น ดูเหมือนเว่อร์ แต่ใจเต้นแรงจริงๆ เป็นโมเมนท์ที่แบบ เฮ้ย อีเหี้ยยยย กูมาแล้วจริงๆ ที่เห็นในหนังที่ดูไปไม่รู้กี่รอบ ภาพที่ชอบและจำได้มาตลอดเวลา อยู่ข้างหน้าตรงนี้แล้ว เป็นความเหมือนจริงที่เหมือนจริงสุดๆ จริงกว่านี้ไม่ได้แล้ว ปิติมานะมานีเกินจะเอ่ยเป็นถ้อยคำ ขอบคุณตัวเองและเอกชัยมากๆ ที่ยอมมาถึงตรงนี้ โอย ฝันเป็นจริงมันหน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง 

ไอ้แนวคอนกรีตและทุ่นหินขนาดใหญ่มันเป็นแนวกันคลื่นกลางทะเล ทีแรกคิดว่าจะเงียบๆ แต่ช่วงที่เราไป มีนักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกัน ทั้งหมดเป็นคนญี่ปุ่น คงมีแค่เราสองคนที่เป็นชาวต่างชาติ นอกจากคนมาถ่ายรูปก็มีลุงๆ มาตกปลา ตอนที่ไปขอให้ลุงคนนึงถ่ายรูปให้ แกถามเราว่ามาจากไหน พอเราบอกว่าบางกอก ไทยแลนด์ ลุงก็ยิ้มใหญ่ บอกว่าชอบเมืองไทย ชอบไปพัทยา โห รู้เลยลุงชอบอะไร 555



ดื่มด่ำกับแนวกันคลื่นและประภาคารสีแดงได้ไม่นานก็ต้องกลับ เพราะว่านัดกับลุงแท็กซี่ไว้ และถ้าไปช้าก็จะไม่ทันรถไฟรอบห้าโมงเพื่อเข้าเมือง (และต้องรอรอบต่อไปตอนทุ่มนึง!) เลยร่ำลาอ้อยอิ่งกับแนวหินนั้น ก่อนจะเดินออกมา เก็บความชื่นใจเอาไว้จนชุ่มปอด ได้มาเห็นแค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว 

เดินกลับไปเอากระเป๋าที่คาเฟ่ โค้งขอบคุณเจ้าของร้านไปสิบที แล้วก็ไปรอลุงแท็กซี่ที่ไปรษณีย์ที่เดิมกับที่ลุงมาส่ง ใครก็บอกว่าคนญี่ปุ่นตรงเวลา เราจะทำให้ลุงด่าเราไม่ได้ว่าไอ้พวกคนไทยมาเลท มารอลุงล่วงหน้าห้านาทีเลยเอ้า รอจนสี่โมง รถลุงต้องวาร์ปมาด้วยความตรงเวลาแน่นอน ... ไม่มี อ่ะ ลุงอาจจะแวะเซเว่นกินขนมจีบกุ้ง ให้อีกห้านาที ... ไม่มี ลุงไปเติมแก๊สป่ะวะ ... ไม่มี เฮ้ย รอนานแล้วลุงไม่มาเลยอ่ะ ลุงแม่งชิ่ง หรือลืม หรือสุดท้ายลุงไม่เข้าใจที่เรานัดกันวะ คิดไปเรื่อยเลย แต่ไม่ใช่เวลาจะคิดแล้วไง เพราะมึงจะไปไม่ทันรถไฟโว้ย เลยกลับไปที่คาเฟ่อีกครั้ง ขอให้เขาช่วยเรียกรถให้ ซึ่งทางร้านก็ช่วยเหลืออย่างดี จนสุดท้ายแท็กซี่ก็มาจอดรับถึงหน้าร้าน โค้งขอบคุณเจ้าของร้านไปอีกยี่สิบที และนั่งแท็กซี่กลับมาที่สถานี Furutakamatsu-minami ที่เดิม (แน่นอนว่ามิเตอร์ขึ้นไปอีกเจ็ดร้อย ... เจ็ดร้อยบาท? ... เออ!)

รอรถไฟไม่นานรถไฟก็มา คราวนี้เราจะไปลงสถานี Ritsurinkoen-Kitaguchi ก่อนถึงสถานี Takamatsu สองป้าย เพราะจองที่นอนสำหรับคืนนี้เอาไว้ผ่าน Airbnb เราจะเดินจากสถานีไปที่บ้านของโชอิจิ และวันพรุ่งนี้จะไปเที่ยวเกาะ Naoshima กัน

แต่ตลอดทางเดิน ยังไงก็ยังนึกถึงลุงแท็กซี่อยู่ดี นี่รู้สึกผิดนะที่ชิ่งแกมา ไม่รู้ว่าแกไปรอเรามั้ย ไปแล้วเก้อ หรือแกลืม หรือลุงคิดว่ากูนี่เป็นมิจฉาชีพแน่ๆ หรือลุงจำวันผิด ยิ่งคิดยิ่งสงสารลุง ถ้าลุงผ่านมาเห็น ก็ขอให้รู้ไว้ว่าวันนั้นหนูนั่งรอลุงจริงๆ นะ รอนานด้วย ยังไงลุงก็ขับแท็กซี่ต่อไปนะ ไว้ผ่านไปแถวนั้นอีกจะไปใช้บริการ บัยยย






1 comment: